ขายตรง/MLMNEWS
นายกสมาคมการขายตรงไทย เผยการระบาดของโควิดที่รุนแรงส่งผลให้ภาพรวมขายตรงโลกปี ’63 มีมูลค่าตลาดโตขึ้น 5.8% มีนักธุรกิจอิสระเพิ่มขึ้นกว่า 125 ล้านคน ขณะที่ภาพรวมขายตรงไทยครึ่งปี ’64 มียอด -5% คาดทั้งปีจะติดลบไม่เกิน 1 – 2% แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้านสินค้า / การสร้างแบรนด์ / และผสานแพลตฟอร์มออนไลน์กับออฟไลน์ให้เดินไปด้วยกัน นำพาธุรกิจให้เติบโตและคงอยู่
นายกิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงโลกปี 2563 ภายในงานแถลงข่าว “WFDSA World Congress XVI” ว่า อุตสาหกรรมขายตรงโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยมูลค่าตลาดรวม 179.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 5.8% มีนักธุรกิจอิสระที่เข้ามาใหม่กว่า 125 ล้านคนทั่วโลก เติบโตขึ้น 4.3% และจำนวนของนักธุรกิจอิสระที่มีส่วนแบ่งกว่าครึ่งอยู่ที่ 55% ของขายตรงโลก
การเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 และ Digital Disruption ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมขายตรงเติบโตขึ้น เนื่องจากประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี และอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่ในช่วงแรกมีการระบาดของเชื้อโควิด 19 ที่รุนแรง จึงส่งผลต่อความต้องการของประชาชนในการบริโภคสินค้าด้านอาหารเสริมสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้สินค้าเพื่อสุขภาพเติบโตขึ้นมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และผลักดันให้ตัวเลขภาพรวมขายตรงโลกและนักธุรกิจอิสระเติบโตตามไปด้วย
ขณะที่อุตสาหกรรมขายตรงของประเทศไทย แต่ละปีมีมูลค่าตลาดรวมถึงปีละ 7 หมื่นล้านบาท มีนักธุรกิจขายตรงไทยประมาณ 11 ล้านคนหมุนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ แต่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ขายตรงไทยมียอดขาย -1% ขณะที่ครึ่งปีแรกของปีนี้ เกิดการระบาดของโควิดที่รุนแรง ประกอบกับมาตรฐานล็อคดาวน์ของภาครัฐ จึงส่งผลให้ภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรก – 5% เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลง หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าด้วยมาตรการและนโยบายด้านต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ตลอดจนคนมองหาอาชีพเสริมมากขึ้น จะทำให้ปีนี้ยอดขายของขายตรงไทยปีนี้จะติดลบไม่เกิน 1 – 2%
“อุตสาหกรรมขายตรงไทยเติบโตต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ปีละประมาณ 7% จนถึงปัจจุบันเริ่มเข้าสู่สภาวะอิ่มตัว ประกอบกับการระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น จึงทำให้ครึ่งปีแรกขายตรงไทยได้รับผลกระทบมากจนถึงขั้นติดลบ แต่ด้วยมาตรการของรัฐบาล เช่น การจัดสรรวัคซีนให้ครอบคลุม การผ่อนคลายล็อคดาวน์ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น และในช่วงสิ้นปีคาดว่าผู้ประกอบการจะมีแผนรองรับที่ดี และใช้โอกาสการฟื้นตัวนี้มาสร้างธุรกิจชดเชยจากที่มีผลกระทบในครึ่งปีแรกให้ดีขึ้นได้” นายกิจธวัช กล่าว
ทั้งนี้ นายกิจธวัช กล่าวด้วยว่า โควิดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวที่เร็วขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการและนักธุรกิจต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อโลกและโรคที่เปลี่ยนไป แล้วก้าวสู่การใช้ชีวิตแบบใหม่ คือการปรับกลยุทธ์ ด้านสินค้า / การสร้างแบรนด์ / และแพลตฟอร์ม ที่ต้องผสานด้านออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและยังคงดำเนินต่อไปได้
“โควิดเป็นเพียงสิ่งที่กระตุ้นให้ขายตรงต้องปรับตัวเรื่อง 1. สินค้า ในโลกอนาคตต้องเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนน้อยลง เข้าใจ ซื้อง่าย ราคาจับต้องได้ และสอดคล้องกับเทรนด์สมัยใหม่ที่เน้นการดูแลตัวเอง 2. การสร้างแบรนด์ ต้องจริงใจ และเกิดขึ้นจากการบอกต่อของเด็กรุ่นใหม่ 3. แพลตฟอร์ม ต้องนำโลกเก่าที่เป็น Personal touch ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของขายตรง เข้ามาผสานกับแพลตฟอร์มที่ใช้ดิจิตอลเป็นเครื่องมือ แต่ไม่ละทิ้ง Personal touch เพราะคือหัวใจขายตรง ถ้าไม่มี Personal touch เราคงไม่แตกต่างอะไรจากสินค้าที่บน Ecommerce ทั่วไป” นายกิจธวัช กล่าวสรุป
อย่างไรก็ตาม สินค้าในธุรกิจขายตรงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันและลูกค้ามีความจงรักภักดีในแบรนด์สูง รวมถึงเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น จะเป็นโอกาสของบริษัทขายตรงที่มีศักยภาพด้านงานวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้
More Stories
แอมเวย์ คว้า 2 รางวัล ผลิตภัณฑ์ในดวงใจคุณพ่อคุณแม่ไทย
ซัคเซสมอร์ เสริมแกร่ง เปิด 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ นิวทรินัล (Nutrinal)
J&C เปิดโอกาสทางธุรกิจดีๆที่พิษณุโลก