Business
บลจ. พรินซิเพิล ตอกย้ำเศรษฐกิจเวียดนามแข็งแกร่งในระยะยาว ชูโอกาสลงทุนภายใต้ธีมหลัก ศักยภาพฐานการผลิตโลก ด้วยเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศไหลเข้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อีกทั้งการขยายตัวของสังคมเมืองหนุนรายได้ประชากรและการบริโภคภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้น และยังมีโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะถูกนำเข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Markets ในอีก 5 ปีข้างหน้า เดินหน้าเปิดตัวกองทุนเปิด ‘พรินซิเพิล เวียดนาม ไทย
ออพพอร์ทูนิตี้’ PRINCIPAL VTOPP ชูจุดเด่นลงทุนตรงในหุ้นเวียดนาม และขยายโอกาสการลงทุนในบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่ได้รับประโยชน์จาก FDI กลยุทธ์การลงทุนตรงและเลือกหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพ บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ที่มีผลตอบแทนอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย (Source : Morningstar ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564)
นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่าเวียดนามถือเป็นประเทศที่น่าสนใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวจึงเป็นโอกาสการลงทุนภายใต้ธีมหลัก ได้แก่ 1. เวียดนามมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกระแสเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากการลงทุนโดยตรงและได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของบริษัทชั้นนำระดับโลก 2. การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) ส่งผลให้ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นและสนับสนุนการบริโภคในภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตได้ดี และ 3. ตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสถูกนำไปคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Markets ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ โอกาสการเติบโตของเวียดนามได้รับการสนับสนุนจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. GDP ที่จะเติบโตได้ดีในระยะข้างหน้า 2. นโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 3. การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ และ 4. การเพิ่มขึ้นของประชาชนชั้นกลาง โดยปัจจุบันเวียดนามถือเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของโลกที่ได้รับประโยชน์จากสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และดึงดูดความสนใจจากบริษัทต่างชาติด้วยข้อตกลงสิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศที่มีอยู่มาก เช่น CPTPP และ RCEP เป็นต้น รวมถึงมีแรงงานที่มีทักษะด้วยค่าแรงที่ต่ำกว่าอีกหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนส่งผลให้เวียดนามมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) ต่อ GDP ในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และจีน เป็นต้น นอกจากนี้สัดส่วนภาคการผลิตต่อ GDP ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในอนาคต
ขณะที่รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเป็นลำดับแรกจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติของเวียดนาม (PDP) ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการผลิตพลังงานนับจากปี 2020 – 2025 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 13.2% โดยเน้นไปที่การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก ด้านอัตราการจ้างงานในภาคการผลิตและบริการก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก สนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของสังคมเมืองอย่างรวดเร็วและกลายเป็นประเทศที่มีชนชั้นกลางเติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคอาเซียน มีสัดส่วนการบริโภคของภาคเอกชนต่อ GDP อยู่ที่ 68% สูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน (รองจากฟิลิปปินส์ที่สัดส่วน 73% ต่อ GDP) จึงทำให้ธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างรวดเร็วจากที่มีมูลค่าตลาดรวม 2.5 ล้านล้านบาทในปี 2010 เป็น 3.3 ล้านล้านบาทปี 2020 และกำลังเปลี่ยนผ่านจากร้านค้าแบบดั้งเดิมสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ส่งผลให้เวียดนามมีโอกาสก้าวสู่เศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางในระดับสูง (Upper Middle-Income)
“เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มี GDP เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียที่น่าจับตามอง โดยมีบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมไฮเทคเข้าไปลงทุนหลายราย อาทิ LG, Panasonic, FOXCONN, Samsung Electronics, Hoya ฯลฯ และมีผู้ประกอบการไทยที่ขยายการลงทุนไปในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง”
นายศุภกร กล่าวต่อว่า จากปัจจัยดังกล่าวจึงเตรียมเปิดตัว “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม ไทย ออพพอร์ทูนิตี้”หรือ Principal Vietnam Thai Opportunity Fund (PRINCIPAL VTOPP) ในวันที่ 10 – 17 พฤศจิกายน 2564 นี้ โดยกองทุน PRINCIPAL VTOPP มีนโยบายลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนาม อีกทั้งขยายโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนามและได้รับประโยชน์จากการเติบโตไปกับเศรษฐกิจเวียดนาม
นอกจากหุ้นเวียดนามที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงปีที่ผ่านมา ยังมองเห็นโอกาสการลงทุนในบริษัทระดับโลก เอเชียและไทยที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนาม จะได้รับประโยชน์จาก FDI และสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบการค้าการลงทุนหลายๆ ด้านจากภาครัฐ ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ต่ำ และการขยายกิจการให้เติบโต โดยบริษัทเหล่านี้ได้เริ่มเข้าไปลงทุนและขยายธุรกิจการดำเนินงานมากว่า 10 ปี และเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Samsung Electronics หนึ่งในผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีฐานการผลิตหลักด้านอุปกรณ์และโทรศัพท์มือถืออยู่ในเวียดนาม โดยเตรียมกลับมาผลิตอย่างเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2564 และเตรียมที่จะผลิตชิปให้กับเทสล่า, Hoya บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลกที่มีกำลังการผลิตสินค้าในเวียดนามคิดเป็นสัดส่วน 17% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ในขณะที่ยังมีบริษัทสัญชาติไทยที่ขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เช่น เอสซีจี เคมิคอลส์ ที่ลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร, บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ที่มีสัดส่วนรายได้จากเวียดนามคิดเป็น 12% ของยอดขายในปีที่ผ่านมา, บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ ที่กำลังดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่ 2 ในเวียดนาม เป็นต้น
ทั้งนี้ เราได้วางกลยุทธ์การลงทุนตรงและเลือกหุ้นแบบ High Conviction ที่มีศักยภาพเป็นรายตัว เน้นสร้างผลตอบแทนแบบ Total Return รวมถึงมีความได้เปรียบในการวิเคราะห์หุ้นลงทุน โดยทีมบริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งทีมไทยและเวียดนาม รวมถึงระดับภูมิภาค เพื่อคัดเลือกธุรกิจและบริษัทที่มีศักยภาพดี โดยเฉพาะนักวิเคราะห์การลงทุนชาวเวียดนาม ทำให้เราได้ข้อมูลจริงและทันสถานการณ์ภายในประเทศ
“ด้วยกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน PRINCIPAL VTOPP ในการลงทุนหุ้นคุณภาพเวียดนาม และการคัดเลือกหุ้นบริษัทชั้นนำระดับโลกและไทยที่มีการขยายการลงทุนในเวียดนามและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ประกอบกับจุดแข็งของประเทศเวียดนามที่มีเศรษฐกิจที่เติบโต มีศักยภาพการเป็นฐานการผลิตของโลก กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง มีการเติบโตของสังคมเมือง (Urbanization) สะท้อนรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีและพร้อมที่จะกลับมาเปิดประเทศ ดังนั้น เราเชื่อว่า กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL VTOPP) เป็นหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต” นายศุภกร กล่าว
ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VTOPP สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App
More Stories
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 700 ล้านบาท ปลุกเศรษฐกิจไทยในแคมเปญ ‘The World’s Great Celebration 2025’ ผนึก ททท. และพันธมิตร สร้างอภิมหาความสุขทั่วประเทศ ชูไทยจุดหมายปลายทางระดับโลก
TikTok มุ่งมั่นยกระดับแพลตฟอร์มเพื่อความปลอดภัยของเยาวชนและครอบครัวไทย
เลอโนโว เปิดตัวเอไอพีซีรุ่นใหม่ล่าสุด ยกระดับประสบการณ์ให้ผู้บริโภคในยุคเอไอเจนเนอเรชัน พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ในประเทศไทย