26 พฤศจิกายน 2024

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

“เบทาโกร” ส่งหุ้น BTG เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ

วางเป้าหมายมุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมต่อยอดความสำเร็จมุ่งสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

กรุงเทพฯ – 2 พฤศจิกายน 2565 – ที่ผ่านมา บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่มีโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร และเป็นผู้นำในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารที่มีประสบการณ์กว่า
55 ปี นำหุ้น BTG เข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขึ้นแท่นเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย และยังมีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ ด้วยมูลค่าเสนอขายรวม 20,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) พร้อมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จด้วยกลยุทธ์การสร้างการเติบโตผ่านการขยายการลงทุนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งในและต่างประเทศ การมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าสูง รวมถึงแสวงหาโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่
(New S-Curve) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต

            นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า “เบทาโกร ได้นำหุ้น BTG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก (2 พฤศจิกายน 2565) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่าเสนอขายรวม 20,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคาเสนอขาย 40.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้รับความสนใจและกระแสตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำ
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศไทย ท่ามกลางสภาวการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวนสูง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงศักยภาพในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของเบทาโกรในฐานะบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล (World-Class Branded Food Company)
ที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากบริษัทจดทะเบียนรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ด้วยโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่
ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ประกอบกับมีแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและอีกกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ”

                เบทาโกรมีเป้าหมายมุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
ผ่านแผนการลงทุนสำหรับ 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2565 – 2569) เพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดังนี้
1) ขยายกำลังการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า
โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในอีก 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย อาหารสัตว์เป็น 5.5 ล้านตันต่อปี อาหารแปรรูปและไส้กรอก 223,000 ตันต่อปี โรงงานแปรรูปสุกร 4.8 ล้านตัว และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ
270 ล้านตัว 2) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เช่น อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมและมาตรฐาน 3) ขยายการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานและฟาร์มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา 4) ขยายการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศและเพิ่มจุดหมายปลายทางการส่งออก ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง และกัมพูชาเป็นต้นการขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และเข้าไปเป็นพันธมิตรใหม่กับธุรกิจท้องถิ่นรวมถึงเพิ่มจุดหมายการส่งออกจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และเพิ่มยอดคำสั่งซื้อของลูกค้า (pocket share) ในภูมิภาคเดิม เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหราชอาณาจักรเป็นต้น นอกจากนี้ เบทาโกรยังมุ่งแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve) โดยจัดสรรเงินทุนรวมประมาณ 900 ล้านบาท สำหรับปี 2565-2569 เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ผ่าน Venture Building และ Venture Capital ใน 3 สาขา ได้แก่ 1) พัฒนาความสามารถในการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค 2) สร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน
3) เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในสายอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องไปกับธุรกิจหลัก เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

                “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของคณะผู้บริหาร ทีมงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่มีส่วนรวมในการนำหุ้น BTG เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะผลักดันธุรกิจของเบทาโกรให้เติบโตไปอีกขั้น จากแผนการนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ความสามารถในการดึงดูดผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ซึ่งจะนำมาสู่โอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย” นายวสิษฐ กล่าวเสริม          

การเสนอขายหุ้น IPO ของ BTG ในครั้งนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 500 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเต็มจำนวน) ที่ราคาเสนอขาย 40.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 20,000 ล้านบาท โดยเบทาโกรวางแผนจะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปต่อยอดความสำเร็จ เพื่อสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ (1) การลงทุนเพื่อการเข้าซื้อ และ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ประมาณ 8,000 ล้านบาท (2) การปรับโครงสร้างเงินทุนผ่านการชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวให้แก่สถาบันการเงินประมาณ 8,960 – 10,500 ล้านบาท และ (3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงาน ไม่เกิน 1,021 ล้านบาท                 สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจร่วมเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนไปกับเบทาโกร แต่พลาดโอกาสลงทุนในครั้งนี้ สามารถซื้อหุ้น BTG ได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Stabilizing Agent) พร้อมเริ่มทำการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในตลาดรอง (Stabilization) เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วันแรกนับจากวันที่ 2 พฤศจิกายน เพื่อช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.betagro-investor.com หรือ Email: ir@betagro.com

Skip to content