ข่าวพลังงาน
SPCG เปิดเผยกำไรสุทธิปี 2563 จำนวน 3,062.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 3,011.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 51.1 ล้านบาท เดินหน้าจ่ายปันผลทั้งปี 1.20 บาท เพราะการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนด้านการจัดการและการเงินได้สำเร็จ
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) (SPCG) กล่าวถึงประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 3,062.4 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.80 บาท เติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 3,011.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 51.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 2 สาเหตุที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเช่นนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ใช้นโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มลดลงถึงปีละ 69 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังดำเนินนโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ลงอีก เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ลดลง 14.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 จากจำนวน 262.0 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562 อยู่ที่ 276.6 ล้านบาท เพราะปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีค่าที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศลดลง 8.5 ล้านบาท และค่าเช่าคลังสินค้าลดลง 6.0 ล้านบาท
นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีผลกำไรจากอนุพันธ์ของสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ปี 2563 จำนวน 58.4 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 บริษัทถือปฏิบัติตาม TFRS 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน เป็นครั้งแรกและบริษัทยังมีผลกำไรจากเงินลงทุนโครงการ Tottori ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ อีกราว 16.4 ล้านบาท
รวมทั้งปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดต้นทุนทางการเงิน ได้ประมาณ 94 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากจำนวนหุ้นกู้ที่ลดลงจากการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนด โดยในปี 2562 และ 2563 บริษัทฯ มีการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 2,375.0 ล้านบาท และ 1,700.0 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนั้นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่ม เนื่องจากบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคาร ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมและอื่นๆ ในปี 2563 มีรายได้จำนวน 526.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 (506.7 ล้านบาท) ประมาณ 19.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4
ด้วยปัจจัยดังกล่าว ที่บริษัทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานและการเงิน ประกอบกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ อัตราหุ้นละ 0.65 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 686,263,500 บาท (หกร้อยแปดสิบหกล้านสองแสน หกหมื่นสามพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 เมษายน 2564
อย่างไรก็ตาม แม้บมจ. เอสพีซีจี ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำธุรกิจด้านพลังงานสะอาด จากพลังงานแสงอาทิตย์จะสร้างผลประกอบการที่ดีให้บริษัทมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าช่วยลดสภาวะโลกร้อนเทียบเท่ากับการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลกประมาณ 200,000 ตัน CO2 ต่อปี
จากการดำเนินงานโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์
More Stories
SSP ติดปีก! รุกขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ
ราช กรุ๊ป – เอไอเอฟ กรุ๊ป – โรนิตรอน จับมือศึกษาและพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจน – กรีนแอมโมเนีย จากพลังงานสะอาดใน สปป.ลาว
“พลังงาน”ชูต้นแบบสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองคาร์บอนต่ำ