26 พฤศจิกายน 2024

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

“8 พรรคการเมือง” โชว์วิสัยทัศน์ด้านต่างประเทศ

 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2566 ที่ผ่านมา ณ ห้อง ศ.ทวี แรงขำ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ “เนชั่น เวิลด์ นิวส์” (Nation World News) โต๊ะข่าวต่างประเทศของเนชั่นทีวี จัดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ หรือ ดีเบตครั้งใหญ่ โดยเชิญตัวแทนพรรคการเมือง 8 คน ถกวิสัยทัศน์ “นโยบายต่างประเทศ” ในหัวข้อ “รัฐบาลใหม่ ไทยอยู่จุดไหนในเวทีโลก?” ซึ่งหลังจบเวทีนี้ “สมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย-จีน” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ประเด็นมุมมองของตัวแทนพรรคการเมืองทั้ง 8 พรรค เกี่ยวกับทุกมิติที่มีต่อ “จีน” ติดตามได้ในรายละเอียดดังนี้ โดยตบท้ายมุมมองของแต่ละพรรคการเมืองอยู่ในเนื้อหานี้ด้วย

ดร.ปิติพงษ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่  เสนอในประเด็นคือ รัฐบาลใหม่ของไทยนั้นยังต้องเผชิญกับปัญสงครายูเครน-รัสเซีย โดยมีจีนมาผสม ดังนั้นประเด็นหลักพอยท์หลักๆ ของปัญหาต่างๆของต่างประเทศ คือ ยูเครนและรัสเซีย เรื่องต่อมา คือ เรื่องไต้หวัน กับจีน ส่วนเรื่องที่สามได้แก่ เรื่องคาบสมุทรเกาหลี โดยนับเป็นความท้าทายของอาเซียน ในการกับจีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายฝ่ายมีการเรียกร้องให้ไทยเลือกข้าง ดังนั้น การใช้นโยบายต่างประเทศที่แข็งแรง เสริมสร้างความเป็นไทย รวมทั้งการพัฒนาคน มีสวัสดิการในสัดส่วน 40-60 ยังเป็นเรื่องสำคัญ

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน

ประเทศจีนน่าจะหันมาดูเส้นทางสายไหมทางทะเลมากขึ้น เพราะว่าทางบกที่จีนทำไปเยอะแล้วและลงทุนไปเยอะมาก โดยเส้นทางสายไหมจะผ่านรัสเซียเก่า เพื่อไปยุโรปตะวันตก วันนี้พอมีสงครามยูเครน เกือบทั้งหมดก็ค่อนข้างจะต่อต้านรัสเซีย และมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ก็จะทำให้มีอุปสรรคมากพอสมควร แล้วถ้าไทยมองว่า ที่ตั้งประเทศไทย มีประโยชน์มากๆสำหรับคนไทย วันนี้และอนาคต ถ้าเราสามารถมีคลองไทยได้ สามารถเชื่อมถนน เชื่อมทางรถไฟความเร็วสูงทางคู่ จากจีนลงไปสิงคโปร์ได้ จากเวียดนามไปพม่า ไปอินเดียได้ ประเทศไทยคือศูนย์กลางภูมิภาคและโลก เรารีบทำ อนาคต 5-10 ปี ตรงนี้มันคือศูนย์กลาง แต่ต้องคิดวันนี้ ทำวันนี้ ผมว่าเงินทุนไม่ต้องเป็นห่วงเลย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเอดีบี กองทุนธนาคารโลก เงินมีล้นโลก ถ้าโปรเจกต์ดี และเป็นประโยชน์ต่อโลก ทุกอย่างก็จะมาเอง

 

นายวรวีร์ มะกูดี ตามด้วยคนที่ 2 คือ นายวรวีร์ มะกูดี ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาชาติ

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่

นายวรวีร์ มะกูดี รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ถ้าพรรคได้ร่วมรัฐบาล เราจะใช้นโยบายการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะถ้ามีปัญหากับเพื่อนบ้าน ความสงบในบ้านเราจะไม่เกิดเช่น และเพื่อนบ้านจะช่วยเราได้หลายอย่างรวมไปถึงเศรษฐกิจด้วย พร้อมย้ำไทยต้องเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ต้องวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนในการวางบทบาทของประเทศ อีกเรื่องที่ควรทำคือ ธุรกิจฮาลาลไทยสู่ฮาลาลโลก จะทำให้เศรษฐกิจขยับขึ้นได้ทันทีหลังจากที่ซบเซาในช่วงโควิดมา และอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย เหมือนที่เคยทำมาในช่วง Amazing Thailand

 

ประเทศไทยต้องมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน เพราะถ้ายังมีไม่พอแล้วจะไปมีบทบาทในเวทีโลกได้อย่างไร คำตอบคือต้องมีผู้บริหารประเทศกลุ่มใหม่ ส่วนเรื่องซอฟพาวเวอร์ ไม่ใช่ข้าวเหนียวมะม่วง หรือมวยไทย แต่คือกระบวนการ ระหว่างประเทศที่เราจะส่งออกวัฒนธรรมที่เป็น pop culture แล้วต่อยอดมาถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่คนไทยยังไม่เข้าใจดีพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมีผู้นำคนใหม่แสดงวิสัยทัศน์ว่า นโยบายพรรคของประชาชาติมีนโยบายที่สำคัญ คือ การกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่าง มาเลเซีย ช่วยเราเรื่องเศรษฐกิจชายแดน จึงมีความสำคัญสำหรับประเทศไทย  และประเด็นที่สอง การโพซิชั่น หรือ การวางบทบาทของไทย ควรเน้นความเป็นกลางอย่างเหมาะสม มีวิสัยทัศน์ มีการวิเคราะห์ วิจัย อย่างละเอียด ส่วนประเด็นที่สาม เข้ากับการที่เรากำลังแสวงหาตลาด คือ ธุรกิจฮาลาลไทยสู้ฮาลาลโลก คือ การบริโภคอาหารฮาลาล เพราะมุสลิมทั่วโลก มีถึงหนึ่งในสี่ หรือ 1,800 ล้านคนทั่วโลก สุดท้ายเรื่องการประชาสัมพันธ์ประเทศ

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน  พรรคประชาชาติให้ความสำคัญอย่างมากในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศซึ่งเรียกว่าเป็นมหาอำนาจทางตะวันออกก็คือ ประเทศจีน แล้วประเทศจีนมีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทศไทยเรา โดยเฉพาะความสำพันธ์ที่ลึกๆกัน มันเหมือนกับเป็นพี่เป็นน้องกันเลย เพราะฉะนั้นพรรคประชาชาติมีเรื่องราวที่อยากจะได้รับความช่วยเหลือ หรือ มีสิ่งที่เราคิดว่า ประเทสไทยเรามีศักยภาพที่จะทำได้อย่างยิ่งใหญ่ก็คือเรื่องของธุรกิจฮาลาล  ธุรกิจฮาลาล การที่จะส่งออกไปทั่วทุกภูมิภาค การที่ได้รับตราฮาลาล หรือ มีการตรวจสอบมาตรฐานจะทำให้มีการน่าเชื่อถืออย่างมาก เพราะฉะนั้น จีนเป็นประเทศที่จะส่งออกสินค้าเกือบทุกชนิด ผมคิดว่าถ้าประเทศไทยในอนาคต มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง

 

นายวรนัยน์ วาณิชกะ พรรคชาติพัฒนากล้า ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติพัฒนากล้า

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่ โดยเน้นที่ด้านสิทธิมนุษยชนว่า คืออะไร โดยสิทธิมนุษยชนไม่ควรขึ้นอยู่กับ ไม่ว่าสัญชาติใด เชื้อชาติใด เพศสภาพอะไร ศาสนาอะไร รวมทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุมในแรงงานต่างด้าว และ สงครามรัสเซีย ยูเครน หรือ ในพม่า “แต่สิทธิมนุษชยชนในบ้านเรายังไม่พอเลย ประเทศอเมริกาเราส่งออกเป็นอันดับสาม  เราได้ดุลการค้า ที่สำคัญศักยภาพเศรษฐกิจโลก ทำไมแอปเปิ้ลไปเวียดนาม เพราะศักยภาพผู้นำ ทำไมเทสล่าไปอินโดนีเซีย เพราะศักยภาพผู้นำ  แล้วทำไมซาอุดิอาระเบียมาไทย เพราะผู้นำเราโชคดี ยุทธศาตร์การเมือง เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศอยู่บนโชคไม่ได้  เพราะนโยบายระหว่างประเทศนั้น เราต้องส่งออกวัฒนธรรม และ ต่อยอดการเมืองเศรษฐกิจของไทย”

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน  ขณะที่มิติของจีน นายวรนัยน์มองว่า นโยบายเกี่ยวกับจีน ต้องบอกว่า ประเทศจีนเป็นพาร์ทเนอร์  ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การค้าขายกับประเทศไทย นอกเหนือจากนั้นแล้ว ประเทศไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประชาชนชาวจีนที่มาท่องเที่ยวอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น รีเลชั่นชิฟ (Relationship) ระหว่างประเทศไทยกับจีน มีมาอย่างยาวนานมาก และ ประเทศไทยจะต้องพัฒนาให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางการเมือง ความสัมพันธ์ทางการค้า ความสัมพันธ์ทางการทูตต่างๆนานา อันนี้เป็นสิ่งที่ทางพรรคชาติพัฒนากล้า สนับสนุนในเวทีโลก ในเวทีการค้านี้ เราควรที่จะต้องเป็นพันธมิตรกับนานประเทศ รวมถึงประเทศจีนด้วย

“โอกาสที่จะทำร่วมกับจีน คือ เพิ่มมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจะพาร์ทเนอร์กับจีนในการทำซอฟท์เพาเวอร์ เพราะจีนก็เป็นประเทศที่มุ่งเน้นมาทางนี้สักพักแล้ว คือ หลายๆสิ่งของภูมิภาคนี้ ผมมองว่า เราควรที่จะขับเคลื่อน ไม่ใช่ฐานะประเทศหนึ่ง ประเทศสอง ประเทศสาม แต่ขับเคลื่อนในฐานะภูมิภาค ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากอาเซียน หรือ อาเซียนบวกจีน บวกอเมริกาก็แล้วแต่ คือ เราเข้าใจว่า สถานการณ์โลกในปัจจุบัน มีขั้วเกิดขึ้น มีขั้วอเมริกา มีขั้วรัสเซีย ก็ว่าไป แต่ในฐานะของประเทศไทยเราควรที่จะมองว่า แต่ละขั้วจะมาจับมือกันได้อย่างไร เพราะเราอยู่ในโลกของโกลบอลไลซ์เซชั่น การเป็นโกลบอลไลเซชั่นนั้น ถึงแม้ว่าแต่ละประเทศจะมีการแบ่งแยก แต่ละประเทศมีชายแดน แต่ละประเทศมีพาสปอร์ต และในการเป็นโกลบอลซิตี้เซนส์ คนไทย คนจีน คนอเมริกา หรือ ประเทศอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญ คือ ความเป็นคน เพราะฉะนั้นเรามีคำว่า เราจะขับเคลื่อนโลกอย่างไรให้มันก้าวหน้า ให้มันขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในเรื่องมนุษยธรรม ในเรื่องการค้าขาย ในเรื่องที่ไม่ว่าจะอะไรก็แล้ว คำตอบและทางออก ควรจะเป็นการทูตการเจรจา” นายวรนัยน์ กล่าว

นางสาวพลอยนภัส โจววณิชย์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ  

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่   ส่วน “พรรคเพื่อชาติ” เรียกความสนใจได้ไม่น้อย กับวิสัยทัศน์ของ “นางสาวพลอยนภัส โจววณิชย์” รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ที่สำคัญและเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายการต่างประเทศ โดยเป็นนิยามคำว่า อธิปไตยของไทย ต้องก้าวข้ามคำว่า อาณาเขตดินแดน แต่ที่ให้ความสำคัญที่สุด คือ ผลประโยชน์และความมั่นคงของไทย

“คนไทยจะอยู่ที่ไหนและภาวะแบบใด การรักษา ต่อรอง และ เพิ่มผลประโยชน์ของประเทศไทย ที่ผ่านมา การต่างประเทศของไทยเป็นโลกสองใบ ไม่เป็นโลกใบเดียวกัน คือ นโยบายในประเทศ และ ต่างประเทศเป็นคนละนโยบายกัน ไม่สอดคล้องกัน แต่ความจริงแล้ว นโยบายการต่างประเทศต้องเป็นนักรบ ต้องไปที่ต่อรองผลประโยชน์ของประเทศ พรรคเพื่อชาติจะทำให้นโยบายด้านการต่างประเทศเป็นโลกใบเดียวกัน ทำให้นโยบายต่างประเทศ สอดคล้องกับนโยบายภายในประเทศ นโยบายด้านการต่างประเทศ เพื่อทำให้ประเทศไทยไปสู่ประชาคมโลกอย่างแข็งแรง พรรคเพื่อชาติจะเน้นสี่เสาหลัก การเกษตร SMEs  การท่องเที่ยว และ ครีเอทีฟ เป็นประเทศผู้ผลิตอาหาร แทนที่เราจะมาแข่งกัน พรรคเพื่อชาติเน้นให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อชาติต้องเป็นแกนนำ”

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน  ส่วนประเด็นมุมมองที่มีต่อมิติด้านต่างๆที่จะพัฒนาร่วมกับจีน พรรคเพื่อชาติมองว่า จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญสำหรับประเทศไทย และ สิ่งที่สำคัญกับรัฐบาล คือ สิ่งที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์มากที่สุด และ ผลประโยชน์นี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่ตกอยู่แค่คนบางกลุ่ม แต่ผลประโยชน์นี้จะต้องนำไปสู่สังคม ประชาชนคนไทย ในภาพรวมให้ได้มากที่สุด และ การที่รัฐบาลไทยหรือพรรคเพื่อชาติหากได้เป็นรัฐบาล จะมีจุดยืนทางจีนมากน้อยแค่ไหนในเรื่องของจีนและการทำธุรกิจ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถมีความตกลงกันในเรื่องของเทคโนโลยี หรือ ในการสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนไทยได้มากน้อยแค่ไหน โดยพรรคเพื่อชาติยืนยันว่า เราจะให้ความร่วมมือที่จะให้ความสัมพันธ์ระดับนานาชาติกับประเทศจีนดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ สำหรับนโยบายวัน BRI ทางพรรคเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประเทศไทยมีกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์ และ มีนัยยะสำคัญในเชิงภูมิศาสตร์ จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ก็เอื้อประโยชน์กับประเทศไทยโดยตรง

นายเกียรติ สิทธิอมร พรรคประชาธิปัตย์

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่    ด้านนายเกียรติ สิทธิอมร ผู้สมัคร ส.ส บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ด้านต่างประเทศชัดเจน ประเทศไทยต้องมีนโยบายที่ทันโลกทันเกมนานาชาติด้วย นโยบายของงานต่างประเทศของไทยสอดคล้องกับงานพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฟอร์มที่คนในโลกนี้ยอมรับนับถือ สร้างคน สร้างชาติ แต่ต้องเป็นฟอร์มที่คนในโลกยอมรับ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในสังคมโลก โดยเน้นเชิงรุกทุกกรณี การเป็นตัวแทนการค้าโลก “ผมเชิงรุกทุกกรณี โดยไทยจะต้องโดดเด่น และ ไทยไม่ควรรัฐประหาร เราจะโดดเด่นมากขึ้น ถ้าไม่รัฐประหาร ที่สำคัญการต่างประเทศบางเรื่องพูดได้ แต่หลายเรื่องพูดไม่ได้”

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน  ส่วนในประเด็นที่มีต่อการพัฒนาร่วมกับจีน ความสัมพันธ์ไทยจีน เป็นมาด้วยดีตลอด พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความสำคัญทั้งในระดับประเทศ และระดับพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคหนึ่งที่มีความสำคัญลึกซึ้งกับจีน ประเทศไทยกับประเทศจีนมีความลึกซึ้งกันมานาน คนไทยหลายคนก็มีเชื้อชาติมาจากประเทศจีน เพราะฉะนั้นความพันธ์อันนี้ก็ต่อยอดได้อีก โดยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ที่การเคารพซึ่งกันและกัน เราต้องอยู่บนโลกนี้ อยู่บนประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งประเทศจีนด้วย อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้นผมคิดว่า นโยบายโดยรวมของต่างประเทศ ไม่ว่าพรรคใดเป็นรัฐบาล ก็คงจะไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไป ยกเว้นบางกรณีที่มีโอกาสพิเศษ และ บางกรณีพิเศษ

“ขณะที่เรื่อง BRI เป็นเรื่องที่เป็นความคิดของจีน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดี และ จะเกิดประโยชน์กับประเทศต่างๆ ที่โครงการนี้พาดผ่าน อย่างไรก็ตามในอดีตผมมีโอกาสร่วมประชุมกับพรรคแกนนำ และ แกนนำ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราส่งสัญญาณชัดเจนว่า หลักคิดของประชาธิปัตย์ว่า โครงการนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเป็นโครงการที่คิดร่วมกัน ทำร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า ริเริ่มโดยประเทศจีน  แต่ถ้าโครงนี้จะส่งผลกระทบกับประเทศต่างๆ ควรจะมีการหารือกับประเทศเหล่านั้นว่า จะต้องมีการปรับโครงการ หรือ ทำอย่างไรให้โครงการที่พาดผ่านประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วยจะมีประโยชน์สูงสุดร่วมกัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมคิดว่า อันนี้ก็เป็นแนวทางที่เราจะต้องปฏิบัติร่วมกันต่อไป”

นายนพดล ปัทมะ  รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย  และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่   นโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทยอยู่บนพื้นฐานหลักคิด 5 ข้อ คือ

1.นโยบายต่างประเทศเชิงรุก

2.เพิ่มพูนบทบาทของไทยในเวทีโลก

3.กอบกู้ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทยกลับคืนมา

4.นโยบายต่างประเทศที่กินได้ ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจ

5.นโยบายที่ยึดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก

โดยทั้งหมดนี้จะเริ่มทำการฟื้นฟูบทบาทของไทยในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน อาเซียน หรือมหาอำนาจ บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกฏบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งจะวางบทบาทให้ไทยเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองในเวทีโลกเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย แรงงานไทย ธุรกิจไทยในต่างประเทศอย่างเข้มแข็ง

โดยทำให้หนังสือเดินทางของไทยมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากขึ้น เจรจาลดประเทศที่ต้องขอวีซ่าเพิ่มให้น้อยลง พร้อมเปิดด่านเสรี เปิดการค้าชายแดนให้มากขึ้น และแสวงหาความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาพลังงานในขณะนี้

พรรคเพื่อไทยมีนโยบายถึง 9 ข้อในงานด้านต่างประเทศ อาทิ ข้อแรกเน้นนโยบายเชิงรุก ฟื้นฟูความเชื่อมั่นบนพื้นฐานปฏิญาโลก และเน้นเรื่องแรงงานไทย ให้ไทยมีเกียรติภูมิ รวมทั้งเน้นการเร่งเจรจา FTA กับ EU ให้เร็วที่สุด และ เร่งส่งออกซอฟท์เพาเวอร์ รวมถึงการสร้างเส้นทางขนส่ง เช่น เส้นทางรถไฟไทย-ลาว-จีน  รวมไปถึงการเจรจาพื้นที่สิทธิ์ทับซ้อนไทยกัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาพลังงาน และ สุดท้ายเน้นการเจรจา IUU เพื่อนำรายได้จากการประมงกลับคืนมา โดยเน้นการเร่งเจรจาไอยูยูกับอียูให้เร็วที่สุด

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน  สำหรับประเด็นการพัฒนาร่วมกับจีนนั้น นายนพดลกล่าวว่า ที่มีคำกล่าวว่า ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน ต้องทำให้แน่นแฟ้นดีๆยิ่งขึ้นไป ประเทศไทยมีผลประโยชน์กับจีนร่วมกันค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาไทยลำดับหนึ่งยังเป็นของจีน และ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จีนยังเป็นมิตรประเทศที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ไทยจะต้องสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นไป ความสัมพันธ์ทุกมิติ เรื่องการค้าการลงทุนและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งความร่วมมือทางการศึกษาและวิชาการ และการให้ไทยเป็นฮับ (HUBในการคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงรถไฟฟ้าความเร็วสูงและเชื่อมโยงรถไฟจากหนองคายมาที่แหลมฉบังขนสินค้าทั่วไป

 

นางสาวพรรณนิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่  

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลกล่าววิสัยทัศน์ที่ยึดมั่นในหลักการขอยึดมั่นในหลักการของคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล โดยเน้นไปที่พื้นฐานประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ฐานคิด bamboo diplomacy ทางพรรคก้าวไกลคิดว่าการโอนอ่อนไปตามอำนาจ ตามกระแสลม จะไม่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีระหว่างประเทศ แต่เราต้องยึดมั่น ในหลักการพื้นฐานของฝั่งประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมมองว่าการต่างประเทศของไทยทั้งทศวรรษที่ผ่านมา เป็นการต่างประเทศที่สูญหาย เสียเวลากับการเข้าผิดคลับ คือเมื่อประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้นำไม่อยู่ในสถานะที่จะอยู่ในคลับของฝั่งประชาธิปไตย หรือโลกที่เป็นอารยะได้ ก็จำเป็นต้องเข้าหาคลับฝั่งที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน

 

ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่  

ประเทศไทยต้องไม่ส่งเสริมสองขั้วของโลกที่นำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ต้องมุ่งเน้นสันติภาพ การเจรจา การไม่เอาเปรียบ ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างจริงจัง ต้องยึดในกติการะหว่างประเทศที่เรายอมรับและผูกพัน ต้องเน้นคุณค่าความเป็นมนุษย์ เอื้ออาทรแบ่งปันมนุษย์โลก ปกป้องโลกจากภัยธรรมชาติ โรคระบาด โลกร้อน และเน้นการพัฒนาสีเขียว ค้าขายกับทุกกลุ่มประเทศ ประเทศไทยควรมีศักยภาพด้านเจรจา และประเทศไทยควรมีอำนาจด้านการต่อรอง โดยทุกเศรษฐกิจ อะไรก็ตามที่ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ และคู่ค้าก็ได้ประโยชน์ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน และไทยต้องเป็นหลักของอาเซียน เพราะถ้าเราไม่ยืนตรงนี้ให้ชัดเจน ประเทศเหล่านั้นอาจจะเล็กเกินกว่าที่จะมีอำนาจต่อรองในด้านต่าง ๆ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยมองว่าเราต้องเป็นฮับของอาหารของโลกให้ได้ ฮับสุขภาพ ฮับท่องเที่ยว และการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและโลก ในการคมนาคมและโลจิสติกส์ นอกจากนี้ไทยต้องมีเขตเศรษฐกิจพิเศษฮาลาล โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สงขลา ภูเก็ต รวมไปถึงการค้าชายแดนทั้งหมด ถ้าทำเช่นนี้ได้เชื่อว่าประเทศไทยจะอยู่โดดเด่นในสายตาของชาวโลก อย่างอื่นก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าพยายามไปต่อรองเข้าขั้วนั้นขั้วนี้ ไทยจะไม่มีศักดิ์ศรี

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน   ความสัมพันธ์ของจีนกับไทย อาจจะต่างจากประเทศอื่น เพราะไม่ว่าประเทศไทย จะมีประชาธิปไตยแบบผสม ประเทศจีนอยากเห็นความจริงใจ ความต่อเนื่องของระบบ ซึ่งไทยเดี๋ยวยึดอำนาจ หรือ เดี๋ยวขัดแย้งกันตลอด ขณะที่ประเทศจีนอยากเห็นระบบที่ต่อเนื่อง แล้วที่สำคัญความจริงใจ เมื่อตกลงจะทำอะไรกัน ก็ทำด้วยความจริงใจ และ เดินหน้ากันอย่างเต็มที่ และ การเลือกตั้ง ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม อยากให้ยึดตรงนี้ไว้ เพราะถ้าไม่ยึดตรงนี้ มันจะมีความล่าช้า ไม่สบายใจ คนที่เสียประโยชน์ก็คือคนไทย ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ประเทศจีนมีการรวมมือทุกประเทศ เประเทศจีน ไม่ได้ใช้เรือปืนเหมือนยุคล่าอาณานิคม หรือ กองทัพที่ใหญ่โตอย่างประเทศตะวันตก แต่เขาพยายามเสนอยุทธศาสตร์ BRI หรือ เส้นทางสายไหม ทั้งทางบก ทางทะเลว่า เรามาค้าขายกันเถอะ และพยายามขจัดข้อได้เปรียบเสียบเปรียบ ไม่ว่าเราจะเป็นประเทศเล็กหรือใหญ่ เราก็มีอำนาจอธิปไตย คบค้าสมาคมกัน ผมว่าจีนเขาต้องการขยายตรงนี้ ซึ่งผมว่าเขาได้ประโยชน์เพราะเขามีทุกอย่าง มีความพร้อม มีประชากร 1,400 ล้านคน”

นายชิบ จิตนิยม พิธีกรทางช่องเนชั่นทีวี (NATION TV) กล่าวว่า  ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งดีกับประโยคที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” โดยเรื่องที่ใกล้ตัวอย่างนี้ อย่ามองข้าม อย่าเป็นประเภทที่ว่า ใกล้เกลือกินด่าง เพราะฉะนั้น เราควรจะใช้ประโยชน์จีนมากที่สุด และ ผมเชื่อว่าจีนเขาก็เปิดกว้าง แม้แต่การท่องเที่ยว สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมพรรคการเมืองที่ส่งตัวแทนมาในวันนี้ ทุกคนพูดถึงจีน เพียงแต่ว่าแต่ละคนอาจจะใช้เวลาพูดถึงจีนไม่มากนัก

“ถ้าเราเรียนรู้จากจีนมากขึ้น การค้า การขายออนไลน์ เรื่องเทคโนโลยี เรื่องของไอที เรื่องของแชตบอต เพราะฉะนั้นจีนไม่ได้น้อยหน้าใคร เราควรใช้จุดแข็งในความเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ใช้ประโยชน์จากจีน ร่วมมือกับจีนให้มากที่สุด”

ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล นายกสมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทยจีน

ประเด็นนโยบายต่างประเทศรัฐบาลใหม่  

 สรุป แต่ละพรรคที่พูดขึ้นมาวันนี้ดีมาก เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในภูมิภาคนี้ ซึ่งภูมิภาคนี้สำคัญมาก เพราะไทยจะเป็นฮับ (HUB) ในภูมิภาคนี้ได้ต่อเมื่อประเทศไทยมีการพัฒนาต่อเนื่อง แล้วมีนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนมีความแน่นอน “ถ้าหากเรามีมุมมองที่ว่า การที่จะมีฟอร์มรัฐบาลต่างๆ เราไม่ต้องพูดถึง อันนี้เป็นเรื่องพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะมาพูดกัน แต่ผมคิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนมันต้องมุ่งเน้นการมาหาสู่กัน การกินดีอยู่ดีในภูมิภาคนิ้ ภูมิภาคนี้ ทางอาเซียนกับจีน มีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน เราสามารถจะมาจับพ่วงให้เกิดสันติภาพขึ้นมา ตลาดจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ ต้องการสินค้าที่เขาไม่มี เช่น เกษตร ผลไม้ต่างๆ ข้าวต่างๆ ต้องพึ่งพาไทย และ ภูมิภาคอาเซียน แล้วก็จะไม่ขาดดุล เพราะจีนมีสินค้าที่พัฒนาด้านเอไอเข้ามา เราก็สามารถที่จะเชื่อมกันได้ ขณะที่เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะแต่ละปี จีนให้ทุนการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทางกลาโหมให้นักศึกษาไปเรียนที่จีนเป็นทุนมหาศาล ในอนาคตเราจะมีสัมพันธ์ทุกมิติต่างๆ ต่อยอดกันได้”

ประเด็นความสัมพันธ์ ไทยจีน

ในโอกาสนี้ ดร.ธารากรยังกล่าวอีกว่า BRI  ครบรอบ 10 ปี ในวันนี้ ซึ่งเป็นข้อริเริ่มที่ท่านสี จิ้นผิง ได้วางไว้ เส้นทางสายไหมมีตั้งแต่มาเป็นพันปีแล้ว แต่ท่านสี จิ้นผิง ได้จับขึ้นมา ดัดแปลงปรับปรุงนำเอามาใช้ใหม่ ซึ่งโครงการนี้ไปกว่า 160 ประเทศแล้ว แทบจะทั่วโลกแล้ว เป็นนโยบายที่มี โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการค้า การลงทุน การศึกษา และการไปมาหากันระหว่างจีนกับไทย ซึ่งแต่ละพรรคที่พูดมาในวันนี้ เป็นมุมมองที่ดีมาก กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้

“ไทยจะเป็นฮับในภูมิภาคนี้ได้ เมื่อไทยมีการพัฒนาต่อเนื่อง มีนโยบายที่ชัดเจน การค้า การลงทุน มีขึ้นมาแน่นอน ถ้าหากว่า เรายังมีมุมมองที่ว่า เรามีฟอร์มรัฐบาล จะมีพรรคการเมืองที่ขึ้นมาทำ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน ผมยังมองว่า ควรเน้นที่การไปมาหาสู่กัน และ การอยู่ดีกินดีของภูมิภาคนิ้  ซึ่งในภูมิภาคนี้ เฉพาะอาเซียนกับจีนมีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน เราสามารถจะจับสิ่งเหล่านี้มาร่วมกันให้เกิดสันติภาพ ตลาดจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ ต้องการสินค้าจากที่เขาไม่มี เช่น เกษตร ผลไม้ต่างๆ ข้าวต่างๆ ที่เขาต้องการพึ่งพากัน”

Skip to content