26 พฤศจิกายน 2024

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

เอสซีจี แถลงQ2/66 ฟื้นตัวท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน เร่งเครื่อง 4 ธุรกิจเมกะเทรนด์โลก เตรียม SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

กรุงเทพฯ :  – ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 2 ปี 2566 ฟื้นตัวจากการเร่งปรับตัวตามแผนงาน ท่ามกลางเศรษฐกิจอาเซียน จีน โลกชะลอตัว  เตรียมคว้าโอกาสรับตลาดโลกฟื้นด้วย 4 ธุรกิจรับเมกะเทรนด์โลก  โครงการปิโตรเคมีครบวงจรใหญ่สุดในเวียดนามผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดในภูมิภาค – Bio-based Plastic
จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ย่อยสลายได้
– วัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมลดคาร์บอน –  SCG Decor ปักธงเบอร์ 1 ในอาเซียน

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจโลก จีนและอาเซียน ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ เอสซีจีได้เร่งปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน  ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว  ส่งผลให้ผลประกอบการเอสซีจีดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา  สำหรับไตรมาส 2 ปี 2566  เอสซีจี มีรายได้ 124,631 ล้านบาท  กำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท  กำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน  จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานที่ลดลง เอสซีจี เตรียมคว้าโอกาสตลาดโลกฟื้นด้วยการเร่งเครื่อง 4 ธุรกิจตอบเมกะเทรนด์โลก  ได้แก่  1. โครงการปิโตรเคมีครบวงจร ใหญ่สุดในเวียดนาม ฐานผลิตสำคัญของภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ผลิตนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ  ป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว  2. ผนึกกำลังกับคู่ธุรกิจชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมกรีน ยกระดับ Green Innovation ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลก และสอดคล้องกับเทรนด์ ESG  ได้แก่  นวัตกรรม ‘Biobased Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงผลิตเป็นวัตถุดิบสำหรับพลาสติก Bio-PET ที่ย่อยสลายได้ 3. ลงทุนในเทคโนโลยีวัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด ที่เก็บอุณหภูมิได้สูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน ตอบโจทย์ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสีเขียว ตามเป้าหมาย Net Zero   และ 4. เตรียม SCG Decor  เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนด้านวัสดุตกแต่งผิว และสุขภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสโตสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569        

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีในช่วงที่ราคาพลังงานผันผวน โดย 6 เดือนแรกของปี 2566  โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้ร้อยละ 40   นอกจากนี้ ธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ซึ่งให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม เติบโตต่อเนื่อง โดดเด่นด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid เริ่มใช้งานแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง ทั้งนี้เอสซีจีมีการติดตั้งโซลาร์สำหรับใช้ภายใน และส่วนที่ให้บริการกับภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 231 เมกะวัตต์ ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2566  ขณะเดียวกันเอสซีจียังได้ลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลก จากสหรัฐอเมริกา  ร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media) สามารถกักเก็บความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน (Rondo Heat Battery) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อน ใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เพื่อขยายธุรกิจทั้งในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท”   

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “ยอดขายรวมของ SCGC ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น  และส่วนต่างราคาสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้น ล่าสุด โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม  อยู่ระหว่างการทดสอบระบบต่างๆ ภายในโรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ต่อไป  ขณะเดียวกันได้ผนึกกำลัง 2 ผู้นำเทคโนโลยีกรีนพลาสติกของโลก  บริษัท Avantium N.V. จากเนเธอร์แลนด์ และ บริษัท ไอเอชไอ (IHI) จากญี่ปุ่น  เตรียมสร้างโรงงานต้นแบบนำก๊าซ CO2
มาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรักษ์โลก
รวมถึงพัฒนาเป็นวัตถุดิบทางเลือกอื่นๆ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และลด การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ”

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า  “เศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก  ในขณะที่ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงเล็กน้อย  แต่คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาโดยเฉพาะนวัตกรรมสินค้า บริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย รักษ์โลก ประกอบกับอาเซียนมีประชากรกว่า 560 ล้านคน  เอสซีจีเตรียมคว้าโอกาสนำ SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ  ปักธงเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน ชูนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569 ”

          นายวิชาญ  จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า  “ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปี 2566 สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มาจากการวางกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุน อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน SCGP ได้ทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยอยู่ระหว่างการพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากอเมริกา Origin Materials ซึ่งผลทดสอบล่าสุดได้ผ่านขั้นตอนที่ 1 การทดสอบในห้องปฏิบัติการ และขั้นตอนที่ 2 การปรับคุณสมบัติที่เหมาะสม พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 Pilot Plant และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนาในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ยังได้ทำการวิจัยและพัฒนา Biodegradable Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส สร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”

งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาส 2 ประจำปี 2566 มีดังนี้ เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 124,631 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน  โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขายลดลง ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากปริมาณขาย
ที่เพิ่มขึ้น โดยเอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้ มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุน ในธุรกิจอื่น (ธุรกิจยานยนต์)

ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2566 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว  มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ขณะที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 9,786 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ในครึ่งปีแรกของปี 2566  มีรายได้ 86,411 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม  ยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Green Choice 137,258
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของรายได้จากการขายรวม

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั้งสิ้น 108,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43 ของรายได้จากการขายรวม   สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีมูลค่า 942,018 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (ไม่รวมไทย)

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตรา 2.5  บาท ต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000  ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวัน 9 สิงหาคม 2566   และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่  10 สิงหาคม 2566

 

 

Skip to content