BAFS ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/66 โดยมีรายได้รวม 743 ล้านบาท เคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท ด้วยแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน พร้อมเสริมความแข็งแกร่งจัดตั้งบริษัทย่อย BAFS X Mongolia LLC ในมองโกเลีย เตรียมร่วมลงทุนด้านพลังงานทดแทน ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท 10.7 ล้านบาท โดยมีรายได้จำนวนรวม 743 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ของช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน ส่งผลให้รายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,537 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 ของช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน โดยเป็นรายได้จากค่าบริการจำนวน 644 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำมันอากาศยานที่กลุ่มบริษัทให้บริการตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจรวมของประเทศ ในขณะที่รายได้ค่าบริการขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินและจัดเก็บน้ำมันของบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันไปภาคเหนือ (NFPT) รวมถึงรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 85.5 ล้านบาท รายได้จากเงินปันผลการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และรายได้อื่นๆ ของกลุ่มบริษัทฯ
ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัท (BAFS Group) แยกตามธุรกิจมาจากรายได้จากธุรกิจการบินร้อยละ 74 รายได้จากธุรกิจการให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อร้อยละ 12 และรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าร้อยละ 14 ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนินงานตามกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจด้วยการลงทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ ผ่านการดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการบิน กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และกลุ่มบริการธุรกิจ โดยมีเป้าหมายปรับสัดส่วนโครงสร้างรายได้ให้สมดุล
ล่าสุด บริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่คอร์เปอเรชั่น (BC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BAFS ถือหุ้นร้อยละ 100 แจ้งการจัดตั้งบริษัท BAFS X Mongolia LLC บริษัทย่อยใหม่ ในประเทศมองโกเลีย โดย BC ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 เพื่อประกอบธุรกิจโดยมีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจการจัดเก็บน้ำมันและท่อขนส่งน้ำมันและธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการ โดยในเฟสแรกมีแผนนำร่องร่วมลงทุนธุรกิจโซล่าร์ฟาร์ม พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ กำหนดเปิดตัวภายในปี 2567
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างการงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2566) ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท โดยการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และให้กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 กันยายน 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและเสถียรภาพการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
More Stories
ผ่าวิสัยทัศน์ “SHARGE” เปลี่ยนผ่านรถขนส่ง-แท็กซี่-Delivery สู่ EV
ราช กรุ๊ป ประกาศกำไร 9 เดือนแรก 5,485 ล้านบาท EBITDA เติบโต 12,830 ล้านบาท
OR จัดงาน “OR TECH SPARK: DIGITAL DAY”