26 พฤศจิกายน 2024

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

โบรกเชียร์ “ซื้อ” SFLEX เป้าสูงสุด 6 บ.

คาดกำไร Q1 และปี 67 ออลไทม์ไฮ เหตุบริหารจัดการดีเยี่ยม-ภาคการบริโภคโตหนุน กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ SFLEX ราคาเป้าหมายสูงสุด 6 บาท/หุ้น ระบุมี Downside น้อย คาดกำไรไตรมาส 1/67 ทำสถิติสูงสุดใหม่ในระดับไตรมาส เหตุมาจากภาพรวมการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การตอบสนองความต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการบริโภค ส่งผลทำให้ผลงานเติบโตแข็งแกร่ง หนุนส่วนกำไรปี 67 ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง  บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SFLEX) โดยประเมินกำไรปี 2567 จะได้แรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก 1) อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะสูงต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สามารถบริหารจัดการได้ และการมุ่งเน้นที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง อย่างไรก็ดีเราใช้สมมติฐานที่อนุรักษ์นิยมโดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ที่ 22.5% ลดลงจาก 24% ในปีก่อน และ 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการบริโภคในประเทศ ซึ่งมาจากลูกค้าหลักของ SFLEX ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ                         เราปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567 เป็น 22.5% อย่างไรก็ดี เราปรับสมมติฐานรายจ่าย SG&A ขึ้น รวมทั้งปรับลดสมมติฐานส่วนแบ่งรายได้จากโครงการ JV กับ SCGP* ลง สุทธิแล้วทำให้ยังคงประมาณการกำไรไว้ตามเดิมที่ 215 ล้านบาท หรือโต +17% YoY เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 6.0 บาท อิง Forward PE 23 เท่า หรือคิดเป็นราว -0.7 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อ SFLEX ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท (อิง 20x 2567E P/E) โดยระบุปีนี้ไม่ใช่ปีที่น่ากังวลเรื่องต้นทุนแต่เป็นปีแห่งการสร้างรายได้ให้เติบโต ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศและภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับสินค้าที่มีคุณภาพของ SFLEX บริษัทจะสร้างผลประกอบการที่น่าประทับใจได้อีกปีในปี 2567                    เราคงประมาณการกำไรปี 2567-69 เติบโต 23% ,12% และ9% ตามลำดับ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง 21% (ต่ำกว่าระดับสูงผิดปกติในปี 2566 ที่ 24%) และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam (SFLEX ถือ 25%) ตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เป็นต้นไป ซึ่งอัตรากำไรขั้นตันที่ 21% สูงกว่าระดับก่อน Covid ที่ 17-19% โดยหลักมาจากประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการจัดหาแหล่งวัตถุดิบ การปรับปรุงและเปลี่ยนเครื่องจักร และกระบวนการการผลิตที่ทันสมัยมากขึ้น สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1 เราคาดว่ากำไรมีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam (SPV) ขณะที่ผลการดำเนินงานของ SFLEX เชื่อว่าดีอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” SFLEX คาดกำไรปี 2567 ล้านบาท เติบโตเด่น QoQ และ YoY และทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส อยู่ที่ประมาณ 52 ล้านบาท เติบโต 25% QoQ และ 30% YoY รวมถึงทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยการเติบโต QoQ ได้แรงหนุนจากรายได้รวมที่คาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 460 ล้านบาท (+5% QoQ และ -3% YoY ตามปัจจัยฤดูกาล (กลุ่มลูกค้าเริ่มมีการสต็อกสินค้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริโภคที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดลดลงมาอยู่ที่ราว 55 ล้านบาท (-13% Q๐Q และ +8% YOY) หลังไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้าลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในเวียดนาม (Starprint VN: SPV เหมือนในไตรมาส 4/2566 ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้แม้ค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นมาก (ผลจากการเพิ่มขึ้นค่าแรงและการกู้เงินมาลงทุนใน SPV) เนื่องจากคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25.0% (เทียบกับ 20.5% ในไตรมาส 1/2566) และการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก SPV หลังการเข้าลงทุนเสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค. สามารถชดเชยผลกระทบได้หากกำไรปกติไตรมาส 1/2567 ออกมาใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี

ในส่วนกำไรไตรมาส 2/2567 คาดอยู่ที่ระดับ 50 ล้านบาท ชะลอตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลแต่จะกลับมาโตเด่นใน 2H67 ซึ่งคาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้ทั้ง HoH และ YoY จาก 1) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก SPV 2) คาดระดับการบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2567 และทำให้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง (หนุนการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป) และ 3) การเริ่มรับรู้รายได้จาก Star Union (JV ที่ทำร่วมกับกลุ่ม TU, ถือหุ้น 51%) หลังเริ่มเปิดโรงงานในช่วงไตรมาส 4/2567  ทั้งนี้ ราคาหุ้นอยู่ในโซนถูกเมื่อเทียบกับการเติบโต โดยราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลงราว 6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หลังถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 4/2566 ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด (ตลาดคาดที่ระดับ 50 ล้านบาท +/-) ส่งผลให้ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER2567 เพียง 11.4 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 4 ปี – 1.58D หรือคิดเป็น PEG เพียง 0.8 เท่า (อิงอัตราการเติบโตระหว่างปี 2567-2569 ที่ระดับ 14.0% CAGR) เราจึงมองว่าหุ้นมี Downside อีกไม่มากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.60 บาท/หุ้น (อิง PER 16.5 เท่า)

 

 

Skip to content