SISB เผยไตรมาส1/67 รายได้แตะ 572.05 ลบ.

รับผลดีนักเรียนเข้าศึกษาเพิ่ม – ปักหมุดปี67 จำนวนนักเรียน 4.6 พันคน

เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

บมจ. เอสไอเอสบี (SISB) เผยผลการดำเนินงานไตรมาส1/67 มีรายได้รวม 572.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากงวดก่อนหน้า เนื่องจากจำนวนนักเรียนใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นระหว่างปีการศึกษา จำนวน 81 คน ส่งผลให้ ณ 31 มีนาคม 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีจำนวนนักเรียนรวมทั้งสิ้น 4,278 คน ฟากซีอีโอ “ยิว ฮอค โค” ระบุแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2/67 ทิศทางดีต่อเนื่อง ผู้ปกครองทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนระบบนานาชาติมากขึ้น สนับสนุนจำนวนเป้านักเรียนปี 67 แตะระดับ 4.6 พันคน พร้อมผลักดันนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

นายยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส1/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 572.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.94 ล้านบาท คิดเป็น 0.2% จากช่วงไตรมาส 4/2566 ที่มีรายได้รวม 571.11 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาเรียนระหว่างปีการศึกษามากขึ้น และ โรงเรียนนานาชาติทั้ง 6 แห่งของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ส่งเสริมให้ผู้ปกครองและนักเรียนเข้าถึงโรงเรียนนานาชาติ SISB ได้มากขึ้น รวมทั้งบริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ ประเมินว่า ยังคงมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เพราะยังคงมีจำนวนนักเรียนไทยและต่างชาติทยอยเข้ามาศึกษาในระหว่างปีการศึกษาเพิ่มขึ้น ดังนั้นภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2567 มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่ามีจำนวนนักเรียนสิ้นปีนี้ แตะระดับ 4.6 พัน

“ บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายการจัดการธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Sustainability Management Policy) ซึ่งสอดคล้องกับจรรยาบรรณในด้านการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีแนวทางการปฏิบัติด้านความยั่งยืนในทุกๆมิติ ได้แก่ มิติด้านสังคม (Environmental Dimension) มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Social Dimension) และมิติด้านธรรมภิบาล (Governance Dimension) โดยบริษัทฯ ได้เปิดเผยการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนไว้ที่ https://sisb.ac.th/esg/” นายยิว ฮอค โคว กล่าวทิ้งท้าย