31 ตุลาคม 2024

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

ไพโรจน์ โชว์ 3 นโยบาย ขับเคลื่อนธุรกิจ GGC สู่อนาคตที่ยั่งยืน

พลังงาน

28 มิย. 64 นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดวิสัยทัศน์การบริหารองค์กรในฐานะกรรมการผู้จัดการคนใหม่ว่า “ตนมุ่งมั่นที่จะสานต่อการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของ GGC และต้องการให้ GGC เกิดความเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีอย่างยั่งยืนทั้งในด้าน ของธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม GGC ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อต้องการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร    โดยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรให้สูงขึ้น ซึ่งความมุ่งมั่นนี้ยังคงสานต่อเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีนโยบายในการบริหารงานคือ “Conviction to Change” นั่นคือพร้อมที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ตอบสนองด้วยความรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการสร้างความเข็มแข็งจากภายในสะท้อนสู่ภายนอก พร้อมชูกลยุทธ์และความมุ่งมั่นในการดำเนินงานควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจทั้ง 3 ด้าน คือ ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Biochemicals) และธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics)  สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในอนาคต

GGC ในฐานะผู้บุกเบิกด้านการผลิตผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีในประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ “To be a Leading Green Chemicals Company by Creating Sustainable Value” หรือ “เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน”มีพันธกิจหลักคือการเป็นบริษัทแกนนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Flagship Company) ของกลุ่ม GC ซึ่งภายใต้วิสัยทัศน์ดังกล่าวประกอบด้วย 3 คีย์เวิร์ดสำคัญ ได้แก่ 1.) Leading คือการเป็นผู้นำ ซึ่งในความหมายของ GGC คือจะต้องสามารถวัดผลได้ 2.) Green ความหมาย คือ ผลิตภัณฑ์และธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ 3.) Sustainable Value สร้างคุณค่าชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้ง 3 คำเกี่ยวข้องกับ GGC โดยตรง และกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุแนวคิดดังกล่าว บริษัทฯ ได้มีการวางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้

ระยะสั้น บริษัท ได้มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้วิกฤตโควิด-19   ด้วยการปรับวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่นและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยการให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home) ออกมาตรการ Lock up ซึ่งเป็นมาตรการการปกป้อง Sensitive Area เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและออกนโยบายให้พนักงานทุกคนรายงานสุขภาพประจำวันของตนเองผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามสุขภาพ รวมไปถึงการปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นด้วยระบบการควบคุมภายในที่ดีและยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล

  • ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) แม้ว่าผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลของบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากการเดินทางของประชาชนที่ลดลง บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายและแสวงหาโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลเพื่อใช้ในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการทำเพื่อเป็นเชื้อเพลิง
  • ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Biochemicals) บริษัทฯ ได้เตรียมการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาด ในส่วนของผลิตภัณฑ์เอทานอล เพื่อให้พร้อมสำหรับการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2565 และมีแผนที่จะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ไปยังธุรกิจปลายน้ำในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care : HPC)
  • ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) บริษัทฯ มีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เพื่อรองรับโครงการในอนาคตที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) รวมไปถึงอยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีและศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนใน Bio-Succinic Acid ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PBS ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดย่อยสลายได้อีกชนิดหนึ่ง

ในส่วน ระยะกลางถึงระยะยาว บริษัทฯ มองว่า กระแส EV Car ถือเป็นตลาดที่น่าจับตาและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับประเทศไทยภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้าทั้งในส่วนของผู้บริโภคและผู้ผลิต โดยตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ASEAN’s EV hub และมีรถยนต์ไฟฟ้า 1.2 ล้านคันบนท้องถนนภายในปี 2573

  • ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลสู่ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยม ด้วยการนำเทคโนโลยี Hydroprocessing เข้ามาปรับปรุงคุณภาพทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
  • ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Biochemicals) บริษัทฯ มีแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจ      ที่ใช้ปาล์มน้ำมันและอ้อยเป็นวัตถุดิบ ทั้งรูปแบบของการลงทุนโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิตปัจจุบันและการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าเพิ่ม (High Value Products) ชนิดใหม่ โดยมุ่งเน้นการเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ขั้นปลายหลากหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) อาหาร (Food) และโภชนเภสัช (Nutraceuticals)  
  • ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) บริษัทฯ มีแผนการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ที่ใช้วัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) ที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ ด้วยรูปแบบการร่วมมือกับเจ้าของเทคโนโลยีการผลิต

นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม สำหรับโปรเจ็กยักษ์ของ GGC ในขณะนี้ คือ การขับเคลื่อนโครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์”(Nakhonsawan Biocomplex) สู่การเป็น Bio Hub แห่งแรกของประเทศไทยแบบครบวงจร  โดยบริษัทฯ ยังคงเป็นผู้นำและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องตามนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย โดยภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub ของเอเชียภายในปี 2570 โดยโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่าง     บริษัท จีซีซี ไบโอเคมิคอล จำกัด (GGC Bio) และ บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด (KTBE) ซึ่งโครงการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 มุ่งเน้นการต่อยอดสู่เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ประกอบด้วย โรงหีบอ้อย       โรงงานเอทานอล โรงงานไฟฟ้าชีวมวลและผลิตไอน้ำความดันสูง ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้าง     กว่า 91 เปอร์เซ็นต์ โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ระยะที่ 2 มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร เพื่อต่อยอดสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) และเคมีชีวภาพ (Biochemicals) ที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนร่วมกัน (Synergy Benefit) ตลอดห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมชีวภาพ และช่วยส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในประเทศไทยรวมไปถึงชุมชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ดำเนินธุรกิจควบคู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายไพโรจน์ กล่าวว่า “ความยั่งยืน” ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักขององค์กร ผมเชื่อว่า “ผลกำไรที่แท้จริงของการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่การบริหารองค์กรให้ได้กำไร แต่คือการให้ความสำคัญกับภายนอกทั้งชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนและทุกหน่วยงานในองค์กร” โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบของโลกด้านความยั่งยืน           จากดัชนีวัดความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุลทั้ง 3 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม พร้อมได้นำแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาวางกลยุทธ์และนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และเป็นไปตามแนวทางมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล โดยในปี 2563 GGC ได้รับที่การจัดอันดับจาก United Nations Global Compact หรือUN Global Compact  โดยองค์การสหประชาชาติ               (United Nations; UN) เป็น 1 ใน 3 องค์กรชั้นนำของไทย และ 1 ใน 41 องค์กรระดับโลกให้อยู่ในระดับ                    สูงสุด (LEAD) นับเป็นบริษัทหนึ่งเดียวในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมี และธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม ในฐานะองค์กรสมาชิกที่สามารถดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม มีนโยบายให้สอดคล้องกับหลักการที่เป็นสากล

นอกจากนี้ GGC ยังได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์และการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ เมทิลเอสเทอร์ (B100) หรือ ไบโอดีเซล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลด Carbon Emission Scope 3 ของ GC Group โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีการปล่อยคาร์บอนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากพลังงานหมุนเวียน รวมไปถึงโครงการอื่นๆ ที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ โครงการปรับปรุงระบบลดความดันไอน้ำและโครงการนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ยกระดับการดำเนินงานด้าน CSR สู่ CSV เพื่อสร้างคุณค่าสู่สังคมที่ยั่งยืน มุ่งเน้นกิจกรรมทางสังคมที่มีคุณค่าที่สะท้อนความยั่งยืน สอดรับกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ควบคู่ไปกับการผสานความร่วมมือกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ

GGC ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อก้าวสู่การเป็นแกนนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์  เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Flagship Company) ของกลุ่ม GC และเป็นผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลกที่โดดเด่น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตร        อันสอดคล้องกับแนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (Bioeconomy) ของภาครัฐ เพราะเราเชื่อว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ GGC ในปัจจุบันจะเป็นหนึ่งพลังสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายไพโรจน์กล่าวทิ้งท้าย

Skip to content