เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ทั่วโลกเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA (Spinal Muscula Atrophy) คนไข้และผู้เกี่ยวข้องในระบบสาธารณสุขออกมาร่วมกันผลักดันการเข้าถึงการรักษาด้วยยานวัตกรรมสำหรับผู้ป่วย และเพิ่มการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค SMA ในสังคมไทย ทั้งนี้โรค SMA เป็นโรคหายากที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์ประสาทในไขสันหลังเสื่อมสภาพ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแขนขาอ่อนแรงและอาจเกิดปัญหาในการหายใจ และในบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นหายใจล้มเหลว โดยโรคนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย แต่ยังสร้างความท้าทายสำคัญให้กับผู้ดูแล โดยเฉพาะในด้านการวินิจฉัยและการเข้าถึงการรักษาในระยะเริ่มต้น ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เร่งด่วนในการให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยโรค SMA และการส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยทุกคนได้รับการดูแลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ความซับซ้อนในการวินิจฉัย: ความท้าทายสำคัญ หนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการจัดการกับโรค SMA คือความซับซ้อนในการวินิจฉัย เนื่องจากอาการของ SMA มักคล้ายคลึงกับโรคทางระบบประสาทกล้ามเนื้ออื่น ๆ ทำให้การวินิจฉัยในระยะเริ่มแรกเป็นเรื่องยาก โดยความล่าช้าในการวินิจฉัยอาจนำไปสู่ความเสียหายของกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ คุณณฐพร โชติภูรีพงศ์ คุณแม่ของผู้ป่วย SMA type 1 ดญ. ญาณิศา โชติภูรีพงศ์ (ลินิน) กล่าวว่า “เมื่อน้องลินินอายุได้ 5 เดือน เราสังเกตเห็น ว่าพัฒนาการของน้องช้ากว่าปกติ โดยแพทย์ท่านแรกสันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวน์ซินโดรม แต่หลังจากน้องต้องผ่านกระบวนการตรวจและวินิจฉัยหลายขั้นตอน ในที่สุดเราก็พบว่าลูกเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (SMA) ซึ่งความซับซ้อนในการวินิจฉัยทำให้เราเสียเวลาไปมาก ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับครอบครัวเรา”
ความรู้และความเชี่ยวชาญของแพทย์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การวินิจฉัยโรค SMA สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ยังช่วยให้ผู้ปกครองสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ศ.พญ. อรณี แสนมณีชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศูนย์เด็ก โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค SMA ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งช่วยให้การตรวจวินิจฉัยและการยืนยันโรคนี้ทำได้ง่ายขึ้น จากข้อมูลของสมาคมประสาทวิทยาเด็ก ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรค SMA ประมาณ 180 คน โดยในจำนวนนี้มีประมาณ 60 คน ที่เป็นผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 18 ปี ซึ่งกำลังรับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ทั้งนี้แม้ว่าโรค SMA จะเป็นโรคที่หายาก แต่ด้วยการเข้าถึงการตรวจยีนที่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ สามารถเบิกจ่ายได้ ทำให้คาดว่าในอนาคตจะมีผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” นอกจากการวินิจฉัย ศ.พญ. อรณี แสนมณีชัย ได้เน้นย้ำถึงการป้องกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน “แม้โรค SMA จะเป็นโรคหายาก แต่การป้องกันสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งวิธีที่สำคัญที่สุดคือ (1) การตรวจพาหะทางพันธุกรรมในครอบครัวที่มีประวัติการป่วยด้วยโรคนี้ หรือคู่สมรสที่วางแผนจะมีบุตร สามารถมีการวางแผนเพื่อไม่ให้มีบุตรเป็นโรค SMA ได้ หรือ (2) การตรวจคัดกรองโรค SMA สำหรับเด็กแรกเกิด (Newborn Screening; NBS) เพื่อตรวจหาโรค SMA ซึ่งช่วยให้เราสามารถรักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงทีก่อนที่จะแสดงอาการ อย่างไรก็ตาม การตรวจพาหะ และ NBS ยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในปัจจุบัน ซึ่งเราหวังว่าภาครัฐจะพิจารณาให้การสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเท่าเทียม” นวัตกรรมการรักษาใหม่: ความหวังของผู้ป่วย
“โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กที่เป็นโรค SMA type 1 จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงประมาณ 2 ปี ซึ่งในอดีต เราทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ทำให้เหมือนกับเราต้องมองดูลูกต่อสู้กับโรคนี้อย่างไม่มีทางเลือก แต่ในมรสุมก็ยังมีฟ้าสว่างที่รออยู่ โชคดีที่ลูกได้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนยานวัตกรรมใหม่ที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น จากเด็กที่เคยต้องนอนนิ่ง ใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ตอนนี้เขาหายใจเองได้มากขึ้น พูดคุย และแม้กระทั่งพยายามนั่งเอง เราได้เห็นรอยยิ้มที่หายไปนานทั้งของลูกและทุกคนในครอบครัวกลับมาอีกครั้ง มันเป็นความสุขที่ไม่อาจบรรยายได้จริง ๆ” คุณณฐพร โชติภูรีพงศ์กล่าว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในการรักษาและนวัตกรรมใหม่ๆ ได้นำความหวังใหม่มาสู่ผู้ป่วยโรค SMA และครอบครัว โดยการรักษาเหล่านี้สามารถปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างคุณภาพชีวิต และยืดอายุของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดยืนยันว่า หลังจากการรักษาเป็นเวลา 5 ปี เด็กที่ได้รับการรักษาโดยนวัตกรรมดังกล่าวมีชีวิตอยู่ได้ถึง 91% โดย 81% สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และส่วนใหญ่ (59%) สามารถนั่งได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการช่วยเหลืออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่สูงและการเข้าถึงที่จำกัดของการรักษาเหล่านี้ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับครอบครัวหลายครอบครัวในประเทศไทย “สิ่งที่ครอบครัวเรายังคงหวัง คือการที่ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับโอกาสเช่นนี้ อยากให้รัฐบาลสนับสนุนการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม เพราะทุกชีวิตควรมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่” คุณณฐพร โชติภูรีพงศ์กล่าวเสริม ความเสมอภาคในการเข้าถึงการรักษา: หน้าที่ระดับชาติ การผลักดันให้ผู้ป่วยโรค SMA เข้าถึงการรักษาภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ (บัตรทอง) ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาด้านการแพทย์ แต่ยังเป็นปัญหาด้านศีลธรรมด้วย โดย น.พ. ทศพร เสรีรักษ์ ประธานกรรมาธิการสาธารณสุข ได้เน้นถึงความจำเป็นในการออกนโยบายที่ครอบคลุม เพื่อรับประกันว่าเด็กทุกคน ไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร จะได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม “ผมในนามประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ผู้ป่วย SMA ทุกคนในประเทศไทยได้เข้าถึงการรักษาด้วยยาอย่างเท่าเทียมกัน การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และครอบครัวของผู้ป่วยก็สามารถกลับไปทำงานได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ได้รับความสูญเสีย นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาระในการดูแลผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเท่าเทียมในการรักษาพยาบาลที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง” น.พ. ทศพร เสรีรักษ์ กล่าว
คำเรียกร้อง: ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ความร่วมมือเป็นกุญแจสำคัญในการข้ามผ่านอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรค SMA ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจนถึงการเข้าถึงการรักษาจากทุกภาคส่วน ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ บริษัทเวชภัณฑ์ และกลุ่มผู้ป่วย เพื่อเสริมสร้างพลังในการต่อสู้กับโรค SMA ไปด้วยกัน ทั้งนี้ผู้กำหนดนโยบายควรจัดลำดับความสำคัญในการสนับสนุนและจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรค SMA เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยทุกคนจะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม นอกจากนี้ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ ควรให้ความรู้และความเข้าใจพร้อมกับการรักษาโรค SMA ส่วนประชาชนก็สามารถสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค SMA เพื่อเป็นการสนับสนุนและให้กำลังใจกับผู้ป่วย
“แม้ว่าโรค SMA จะเป็นโรคหายาก แต่ชีวิตของผู้ป่วยทุกคนมีคุณค่า การที่รัฐสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาด้วยยา ไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตเด็กที่เจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระของครอบครัว และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยและครอบครัวในระยะยาว โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันเรื่องนี้ในสภาฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต่อผู้ป่วยและสังคมไทยโดยรวม” น.พ. ทศพร เสรีรักษ์ กล่าวปิดท้าย
**เกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Spinal Muscular Atrophy: SMA) SMA เป็นโรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โรคนี้มีผลกระทบต่อทารกประมาณ 1 ใน 10,000 คน และเป็นสาเหตุทางพันธุกรรมหลักของการเสียชีวิตในทารก โรค SMA เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน survival motor neuron 1 (SMN1) ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนโปรตีน SMN โปรตีนนี้พบได้ทั่วร่างกายและมีความสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว หากขาดโปรตีนนี้ เซลล์ประสาทจะไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมา โดยผู้ป่วย SMA แต่ละประเภท มีความแข็งแรงทางกายภาพและความสามารถในการเดิน กิน หรือหายใจที่ต่างกัน
More Stories
วีเอชดี ส่ง เมอริช คอฟฟี่ ชิงตลาดกาแฟสุขภาพ 3.4 หมื่นลบ.
BDMS Wellness Clinic คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 จาก Bangkok Post
SOLUX Clinic เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำความสวยที่มีระดับ (พรีเมียม)