4 มีนาคม 2025

THE MASTER

ย่อโลกข่าวไว้ในมือคุณ

TEGH สุดสตรอง! ปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 38.86% กำไรโต 158.86% บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผล 0.21 บ./หุ้น รับทรัพย์ 23 พ.ค. 68 ปักหมุดรายได้ปีนี้โต 30% – เล็งดันบ.ย่อย “TEBP”เข้าตลาด mai

บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เปิดงบปี 2567 รายได้แตะ 16,843.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.86% กำไรสุทธิ 556.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.86% บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 19 มีนาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ฟากแม่ทัพหญิง “สินีนุช โกกนุทาภรณ์” ระบุตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 30% ประเมินยอดขายยางแท่งมีลุ้นออลไทม์ไฮต่อเนื่อง ลุยสร้างการเติบโตในทุกธุรกิจ ทั้งยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ พร้อมเตรียมแผนนำบริษัทย่อย “TEBP” ระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจร ที่นำพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการผลิต เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2567 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีรายได้ 16,843.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.36% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่บริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 14,774 ล้านบาท ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 1,907 ล้านบาท และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 139 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 88%, 11%, 1% ของรายได้ทั้งหมดตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 556.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.86% หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 202.60% ก่อนหักรายการพิเศษบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ถาวรของบริษัทย่อย จำนวน 94.05 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 20 มีนาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้จะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งมีกำหนดจัดประชุมในวันที่ 25 เมษายน 2568

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 30% แตะระดับ 22,000 ล้านบาท จากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่ง มีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000-280,000 ตัน และราคายางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น โดยที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ TEGH มียอดการผลิตและจำหน่ายยางแท่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งในปี 2567 มีมียอดขายยางแท่ง 220,284 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มียอดขาย 197,240 ตัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 11.68% โดยมีสัดส่วนปริมาณส่งออกยางแท่งที่ 66.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 47.75% อันเป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตยางแท่งที่เพิ่มขึ้นเป็น 390,000 ตันต่อปี และมีปริมาณขายยางแท่งเกรด EUDR ทั้งหมดที่ 51,743 ตัน โดยคิดเป็นสัดส่วนยางแท่งเกรด EUDR ถึง 45.11% ของปริมาณส่งออกยางแท่งทั้งหมดในครึ่งปีหลัง สะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และความต้องการสินค้ายางแท่งเกรด EUDR โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่ถึงแม้จะมีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไปอีก 1 ปี (เริ่มบังคับใช้ 31 ธันวาคม 2568)

ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเทิร์นอะราวด์ในปีนี้ หลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิต ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และหม้อนึ่งปาล์มต่อเนื่อง (Sterilizer) ที่ติดตั้งแล้วเสร็จไปในปีก่อน พร้อมดำเนินการทดสอบเครื่องจักรในช่วงผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาด หรือภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 2568 และจะเพิ่มเป็น 50% ภายในปี 2569 พร้อมเตรียมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในปีนี้ โดยการนำทะลายปาล์มมาเพิ่มมูลค่าใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับทดแทนการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกของโรงงานในกลุ่มบริษัทฯ และจากสภาวะตลาดปาล์มน้ำมันที่ไม่ปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน บริษัทฯ จึงได้พิจารณาบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ถาวรของบริษัทย่อยในสายธุรกิจปาล์มน้ำมันเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทฯ ประเมินว่าจะช่วยลดภาระค่าเสื่อมระหว่างปี 2568-2570 ลงได้ประมาณปีละ 20 ล้านบาท

ด้านธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างโดดเด่น หลังขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟสที่ 1 เสร็จเรียบร้อย ที่กำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และรับรู้รายได้จากการขายก๊าซชีวภาพผ่านทางท่อให้กับ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) แล้วเมื่อช่วงปลายปี และมีแนวโน้มที่ความต้องการใช้ก๊าซชีวภาพจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ล่าสุดเตรียมขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟสที่ 2 เพิ่มอีก 90,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ควบคู่กับการศึกษาและพัฒนายกระดับขึ้นเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) เพื่อใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งในอนาคต

นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการ TEGH ได้มีมติอนุมัติแผน Spin-Off ของบริษัทย่อย คือ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และแผนการนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ภายใต้แผน Spin-Off นั้น TEBP จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ TEBP โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TEBP และ TEBP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภายหลังการ IPO

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Skip to content