เขย่าขวด..ขายตรง โดย. “คมกริช”
ธุรกิจเครือข่ายขายตรงในประเทศไทย ดำเนินมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วมีบริษัทจดทะเบียนกับ สคบ. เพื่อขอเปิดบริษัทขายตรงกว่า 1,000 บริษัทแต่ขณะนี้น่าจะเหลือที่มีชื่อว่าดำเนินธุรกิจอยู่ราว 200-300 บริษัท และ ที่ทำอยู่จริงๆ คงเหลือไม่เกิน 100 บริษัท ตัวเลขที่แท้จริงต้องไปถาม สคบ. แต่เท่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นทาง สคบ. ผู้อนุมัติให้เปิดบริษัทขายตรง ได้สรุปตัวเลขให้เห็นเลยว่า ยอดปัจจุบันมีกี่บริษัทกันแน่รวมทั้งยอดขายหรือผลการดำเนินงานของแต่ละบริษัทเป็นอย่างไรบ้างคนที่สนใจอยากจะรู้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทำธุรกิจ ขายตรงกับบริษัทหนึ่ง บริษัทใดก็ไม่สามารถรู้ได้ จะหวังพึ่งบอร์ดขายตรง ว่าจะช่วยส่งเสริมสนับสนุน อุตสาหกรรมการขายตรง ให้เจริญก้าวหน้า ก็ไม่รู้ว่า จะพึ่งพาได้ไหม สรุปแล้วในวงการขายตรงบ้านเรา ก็คงจะอยู่กันไปแบบตัวใครตัวมันนักธุรกิจขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระ ที่สังกัดบริษัท ที่ได้เจ้าของดี มีคุณธรรมมีวิสัยทัศน์ ในการทำธุรกิจขายตรง อย่างโปร่งใส ก็โชคดีไป ได้อยู่กับบริษัทนี้นานๆ อยู่กันจนเป็นปู่เป็นย่า แตกลูกแตกหลานมีทั่วแทบทุกจังหวัด ก็ดูดี มีความมั่นคง สามารถยึดเป็นอาชีพ หลักได้ แต่ถ้าใครไปเจอกับเจ้าของบริษัทที่ไม่เป็นแบบข้างต้น ก็คงทำไปเสียวไป ไม่รู้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาบ้าง หากมีปัญหาแล้ว รับกันไม่ได้ ก็คงต้องอพยพโยกย้ายหาบริษัทใหม่กันอีก เลยไม่รู้ว่าจะต้องรอ พ. ศ. ไหนถึงจะลงตัว ได้ปักหลัก ให้ถาวรสักที เห็นแล้วก็ เหนื่อยแทนจริงๆ
พูดถึงบริษัทขายตรง ก็อยากจะได้เห็นเจ้าของหรือประธานบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ได้แสดงออกถึง ความเป็นผู้กล้าในการตัดสินใจ โดยเพิ่มผลประโยชน์ทางรายได้ ให้มีรายได้ ตามแผนการตลาดของบริษัท ให้กับสมาชิกมากขึ้นทั้งนี้เพื่อ เป็นการช่วยเหลือสมาชิกหรือผู้จำหน่ายอิสระ ของบริษัทตัวเองในยุคโควิด ไม่มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และจะเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจที่ดีตามมาด้วย สิ่งที่ว่านี้ก็คือ ให้ปรับเพิ่มเปอร์เซ็นต์คำนวณผลประโยชน์ ให้กับสมาชิกระดับล่าง ให้มากกว่าเดิม และปรับลด เปอร์เซ็นต์ในระดับสูงลงมาชดเชย ทั้งนี้จะอยู่บนพื้นฐานที่ว่า หากไม่มียอดขายจากสมาชิกระดับล่างๆแล้วไซร้ ผู้นำระดับสูงก็จะไม่มียอดรวมมากตามไปด้วย อย่างแน่นอนและถ้าหากสมาชิก ระดับล่างอยู่ไม่ได้ (ไม่พอกิน) เขาก็จะย้าย ไปหากินที่อื่นต่อ นี่คือตรรกะง่ายๆ ไม่ต้องคิดให้มาก อยากให้อยู่กันแบบ พ่อแม่ช่วยลูก หรือพี่พี่ช่วยน้อง เราก็จะเป็นครอบครัวคนขายตรงที่ดี และน่าอยู่ตลอดไป
อีกประการหนึ่งในยุค covid ระบาดขณะนี้ การทำธุรกิจขายตรงต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำ จากออฟไลน์เป็นออนไลน์กันทั้งนั้นซึ่งผลดังกล่าว จะทำให้ยอดค่าใช้จ่ายดำเนินงานของบริษัทลดลง ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าสำนักงานค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ค่าโฆษณา และอื่นๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ปกติก็คิดเป็น 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายบริษัทอยู่แล้ว หากเอามาแบ่งให้สมาชิกเพิ่มขึ้น รับรองได้ว่า สมาชิกและผู้จำหน่ายอิสระ ในบริษัทของท่านจะต้องไชโยโห่ฮิ้วแข่งกันทำยอดขายอย่างถล่มทลาย และท่านประธานก็จะได้รับการสรรเสริญยกย่องได้รับตำแหน่งประธานบริษัทขายตรงยอดเยี่ยมประจำปี 2564 นี้อย่างแน่นอน../
More Stories
วีเอชดี ส่ง เมอริช คอฟฟี่ ชิงตลาดกาแฟสุขภาพ 3.4 หมื่นลบ.
BDMS Wellness Clinic คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 จาก Bangkok Post
SOLUX Clinic เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำความสวยที่มีระดับ (พรีเมียม)