“ HAPPY MPM ” ทุ่ม 120 ล้าน ซื้อที่สร้างสาขาใหญ่สุดในอีสาน

ขายตรง/MLM /ธุรกิจเครือข่าย

“แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม” ทุ่มงบกว่า 120 ล้าน ซื้อที่ดินสร้างสาขาศูนย์กลางใหญ่สุดในภาคอีสาน พร้อมเปิดกลยุทธ์ชูจุดแข็งการพัฒนาศักยภาพนักธุรกิจ เปิดตัวสินค้าใหม่ พร้อมรุกตลาดต่างประเทศให้เติบโตต่อเนื่อง หวังกระตุ้นยอดขายภาพรวม ดันสู่เป้าพันล้าน

นายณพวัฒน์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด เปิดเผยทีมข่าว MLM NEWS ONLINE ว่า จากการสร้างรากฐานอย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤตโควิด 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วางระบบการบริหารภายในที่แบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน / การขยายสาขา / การสร้างสาขาใหม่ที่หาดใหญ่ ให้เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ตอนล่าง / การรีโนเวทสาขาให้ดูมีความทันสมัยในความเป็นแบรนด์ของตนเองมากยิ่งขึ้น / การสร้างแพลตฟอร์มออฟไลน์และออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรมให้นักธุรกิจใช้เป็นเครื่องมือช่วยขยายฐานลูกค้านำไปสู่การเป็นนักธุรกิจของบริษัทเป็นจำนวนมาก ตลอดจนการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารวม 15 รายการ ส่งผลให้ยอดขายปี 2564 เป็นที่น่าพอใจ ด้วยยอดขายในประเทศไทยมากกว่า 500 ล้านบาท และยอดขายในต่างประเทศ คือ ลาว และกัมพูชา อีกประมาณ 300 ล้านบาท

ดังนั้นในปีนี้ บริษัทจึงขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่วางไว้อย่างเต็มศักยภาพและต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์กับการพัฒนาศักยภาพของนักธุรกิจ สู่การเป็นผู้ประกอบการที่ดี ด้วยคอร์สการเรียนรู้สำหรับนักธุรกิจมืออาชีพ พร้อมการเพิ่มทักษะและทัศนะคติในการเป็นผู้ประกอบการที่ดี ในการดึงดูดเครือข่ายผู้บริโภคเข้ามาได้มากขึ้น ควบคู่กับการมีสินค้าที่โดดเด่น ที่เป็นจุดแข็งของบริษัท โดยจะผสานทั้ง 2 อย่าง เป็นกลยุทธ์หลัก อีกทั้งการลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ และวิธีการนำเสนอสู่ผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มที่ได้วางไว้ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงการเป็นแบรนด์เพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง

“เราต้องการให้สมาชิกที่เข้ามาได้รู้ทักษะและมีทัศนคติในการเป็นนักธุรกิจที่ดี นำเสนอการขายที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแบบตรงไปตรงมา เมื่อเราให้วิธีการกับกลุ่มผู้บริโภคให้เขาสามารถขายสินค้ากับธุรกิจของเราได้อย่างมีความสุข เขาอาจจะเปิดใจและรู้สึกว่าแบรนด์นี้ไม่มีการยัดเยียดการสั่งซื้อสินค้า เราปลูกฝังให้ทุกคนให้ก่อนที่จะได้รับ เหมือนที่ Happy ให้กับนักธุรกิจก่อนที่เราจะได้รับจากนักธุรกิจ เชื่อว่ากลยุทธ์ตรงนี้กลยุทธ์การเพิ่มทักษะและทัศนคติในการเป็นผู้ประกอบการชั้นดี จะทำให้สามารถดึงดูดเครือข่ายผู้บริโภคได้มากขึ้น” นายณพวัฒน์ กล่าวขยายความ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 120 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 2 ไร่ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเตรียมสร้างสาขาที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน เพื่อเป็นศูนย์กลางของภาคอีสานในอีก 3 ปีข้างหน้า ในส่วนภาคตะวันออก ที่จังหวัดสระแก้ว อำเภออรัญประเทศ จะขยายคูหาเพิ่มขึ้นจาก 1 คูหาเป็น 2 คูหา และเตรียมรีโนเวทสาขาที่ภาคเหนือ จังหวัดพิษณุโลก เชียงราย ขณะที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ วางกลยุทธ์ที่จะเปิดเป็น Mobile Center ของผู้นำ โดยที่ผู้นำไม่ต้องลงทุน

“ในส่วนของภาคใต้ เราต้องการให้ผู้นำทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์กับบริษัท และในวันหนึ่งที่เขาพร้อม และมีความเข้าใจในวัฒนธรรมองค์กร เราก็พร้อมจะส่งเครื่องมือไปเป็นเซ็นเตอร์ให้ นี่คือกลยุทธ์ของทางภาคใต้” นายณพวัฒน์ กล่าว

ขณะที่ สินค้าของแฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม ที่ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุม 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วย / กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน / กลุ่มสุขภาพ / และกลุ่มของใช้ในครัวเรือน ในปีนี้มีการวางแผนทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ตลอดปี อาทิ ครีมกันแดด ครีมรองพื้น โรลออน สเปรย์กันยุง ยาหม่อง รวมถึงอาหารเสริม โดยเฉพาะวิตามินและแคลเซียม ที่บริษัทมีการวิจัยและพัฒนามาร่วม 2 ปี จึงเป็นสินค้าที่โดดเด่น และช่วยเพิ่มยอดขายให้นักธุรกิจเพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินค้าสุขภาพที่จำเป็น ทั้งจะช่วยต่อยอดให้ผู้บริโภคต่อยอดซื้อสินค้าในกลุ่มอื่นด้วย

ทั้งนี้ นายณพวัฒน์ ระบุถึงภาพรวมตลาดต่างประเทศว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ลาว มีฐานนักธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มขึ้น บริษัทจึงทุ่มลงทุนกับการสร้างสำนักงานแห่งใหม่ที่ลาว ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ ใจกลางเมืองเวียงจันทน์ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจลาว พร้อมตั้งเป้าขึ้นแท่นอันดับ 1 ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ส่วนกัมพูชา มีฐานผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากสินค้าของบริษัทตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับเรือนร่างที่มีความแตกต่าง ตอบโจทย์ และมีราคาที่เข้าถึงง่าย จึงทำให้มียอดขยายที่เพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ได้วางแผนจัดตั้งบริษัทที่เวียดนาม และขยายไปยังมาเลเซียด้วย  ซึ่งหากมีการดำเนินการเป็นผลสำเร็จ จะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้ยอดขายของต่างประเทศเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงเป็นการช่วยช่วยเพิ่มยอดขายทั้งระบบของแฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม ให้ทะยานแตะ 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้การตั้งเป้าติด 1 ใน 5 ของบริษัทขายตรง ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้อย่างแน่นอน