แพทย์ รพ.วิมุต แนะ รู้ทันปัจจัยเสี่ยง-รีบพบแพทย์ ก่อนผื่นลุกลามจนอาการหนัก
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีผิวพรรณที่ดูดีสะอาดสะอ้าน ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างบุคลิกแล้วยังช่วยให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจอีกด้วย แต่บางครั้ง แม้ว่าเราจะดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว ผิวกลับมีผื่นแดงผิดปกติขึ้นหลายจุด แถมยังมีอาการแสบคันร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นอาการของ “โรคเซ็บเดิร์ม” ที่มักเกิดขึ้นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก โดยนอกจากจะสร้างความรำคาญและทำให้สูญเสียความมั่นใจแล้ว หากไม่รักษาให้ดี ผื่นอาจลุกลามจนเกิดอาการแทรกซ้อน วันนี้ พญ.สุธาสินี ไพฑูรย์วัฒนกิจ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและความงาม รพ.วิมุต จะมาอธิบายลักษณะของโรคเซ็บเดิร์ม พร้อมวิธีการป้องกันและรักษา เพื่อให้ผู้ที่เป็นโรคนี้รับมือกับอาการให้ดีและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ
“โรคเซ็บเดิร์ม” ผื่นแดงที่เกิดบริเวณต่อมไขมัน
“โรคเซ็บเดิร์ม” (Seborrheic Dermatitis) คือ โรคต่อมไขมันอักเสบ มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น หนังศีรษะ หลังหู หน้าอก หรือหลังส่วนบน ส่วนน้อยอาจมีผื่นตามข้อพับต่าง ๆ เช่น รักแร้ ใต้ราวนม หรือขาหนีบ โดยคนไข้มักมีผื่นแดงที่มีอาการคันหรือแสบร่วมด้วย มีสะเก็ดสีขาวหรือสีเหลืองบริเวณผิวหนัง นอกจากนี้เมื่อมีผื่นขึ้นตามหนังศีรษะ ก็จะมีขุยหรือรังแคเกิดขึ้น โดยการอักเสบจากผื่นก็อาจทำให้ผมร่วงได้ง่ายกว่าเดิม พญ.สุธาสินี ไพฑูรย์วัฒนกิจ อธิบายเพิ่มเติมว่า “กลุ่มที่พบโรคนี้บ่อยมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเด็กแรกเกิดถึงอายุประมาณ 3 เดือน โดยอาการมักจะหายไปเองก่อนอายุหนึ่งปี ส่วนกลุ่มสองคือกลุ่มผู้ใหญ่ แบ่งเป็นกลุ่มที่เข้าช่วงวัยรุ่น และกลุ่มอายุประมาณ 40 – 50 ปีขึ้นไป โดยจะมีอาการค่อนข้างเรื้อรัง เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย”
มัดรวมสาเหตุ “โรคเซ็บเดิร์ม”
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคเซ็บเดิร์ม แต่หลัก ๆ เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับต่อมไขมัน ตัวยีสต์ที่อยู่บนผิวหนัง การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน พันธุกรรม และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น สภาพอากาศ อีกกลุ่มคือผู้ป่วยเป็นโรคที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ง่ายขึ้น เช่น กลุ่มคนไข้โรคระบบประสาท กลุ่มที่มีปัญหาในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น คนไข้ HIV หรือคนไข้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
“โรคเซ็บเดิร์ม” รักษาไม่หายขาดแต่ดูแลให้ดีได้
ผื่นของโรคเซ็บเดิร์มอาจทำให้สับสนกับอาการของโรคอื่น ๆ แต่เราสามารถแยกแยะด้วยลักษณะและตําแหน่งที่เกิดผื่นเป็นหลัก ซึ่งผื่นของโรคนี้จะเป็นผื่นแดงที่มีขอบไม่ชัด เป็นขุย และมีตําแหน่งที่จําเพาะ เช่น หัวคิ้ว ร่องจมูก หนังศีรษะ หรือบริเวณหู ซึ่งถ้ามีผื่นประมาณนี้ก็เข้าข่ายโรคเซ็บเดิร์มได้ เบื้องต้นสามารถซื้อยามาใช้เอง แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือผื่นลามมากขึ้น แนะนําให้มาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง เพราะบางคนหากมีผื่นเยอะหรือเป็นบริเวณกว้าง อาจต้องกินยาต้านเชื้อราและยาลดอาการอักเสบร่วมด้วย พญ.สุธาสินี ไพฑูรย์วัฒนกิจ เสริมเรื่องการรักษาว่า “โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคที่ค่อนข้างเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด เป้าหมายหลักในการรักษาจึงเป็นการคุมให้โรคสงบนานที่สุด ถ้าเราปล่อยไว้นาน ๆ ไม่รักษาก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อน ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือผื่นลามมากจนทำให้สูญเสียความมั่นใจและเกิดความเครียด ก็ยิ่งกระตุ้นการเกิดผื่นเป็นวงจรซ้ำ ๆ”
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”
การคุมโรคเซ็บเดิร์มสามารถทำได้หลายวิธี ที่สำคัญคือการรักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีผื่น หมั่นล้างหน้าให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดและครีมที่ไม่มีสารในกลุ่มแอลกอฮอล์ สาร AHA / BHA กรดผลไม้ต่าง ๆ เพราะก่อให้เกิดการระคายเคือง พยายามผ่อนคลายจิตใจไม่ให้เครียด นอนหลับให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นอาการ เช่น อากาศร้อนจัด หนาวจัด และอากาศแห้งๆ”
“แม้ว่าโรคนี้จะเป็นภาวะเรื้อรังรักษาไม่หายขาด แต่เราควบคุมอาการของโรคให้สงบได้ ด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบห้าหมู่ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดโรค หากเกิดผื่นแดงแสบคันตามใบหน้าหรือร่างกาย รักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น หรือเป็น ๆ หาย ๆ ก็ควรพบแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้อาการของโรคสงบลง เราจะได้มีสุขภาพผิวที่ดี พร้อมใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจในทุกวัน” พญ.สุธาสินี ไพฑูรย์วัฒนกิจ กล่าวทิ้งท้าย
More Stories
วีเอชดี ส่ง เมอริช คอฟฟี่ ชิงตลาดกาแฟสุขภาพ 3.4 หมื่นลบ.
BDMS Wellness Clinic คว้ารางวัล CEO of the Year 2024 จาก Bangkok Post
SOLUX Clinic เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำความสวยที่มีระดับ (พรีเมียม)