สวส.จัดงานแถลงข่าวประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2567 เพื่อเปิดเวทีให้ทุกภาคส่วนร่วมระดมความคิดเห็น พร้อมกำหนดแนวทางขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม ในปี 2568 ให้สอดรับแผนพัฒนาประเทศ สู่การเติบโตทางสังคมที่ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) พร้อมทั้ง คุณชูศักดิ์ จันทยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด ประธานการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจําปี 2566 และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันติ เติมประเสริฐสกุล คณบดีประจําคณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หัวหน้าทีมนักวิชาการโครงการจัดงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจ เพื่อสังคม ประจําปี 2566 และที่ปรึกษานักวิชาการโครงการจัดงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจ เพื่อสังคม ประจําปี 2567 ร่วมแถลงข่าวงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2567 โดยจัดงานแถลงข่าวขึ้น ณ ห้อง Common Ground ชั้น 1 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)
นางนภา กล่าวว่า สวส. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานส่งเสริม สนับสนุนช่วยเหลือและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม และกลุ่มกิจการเพื่อสังคม โดยตามพรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 มาตรา 75 ที่กำหนดให้มีการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม
ซึ่งนับว่าการประชุมสมัชชาฯจะมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคม และกลุ่มกิจการเพื่อสังคม ซึ่งการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคมจะเต็มไปด้วยการระดมความคิดเห็นจากผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคม กลุ่มกิจการเพื่อสังคม และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายภายใต้ความยั่งยืนอย่างแท้จริง สู่การเป็น Mainstream Social Enterprise For Sustainable Future โดยการจัดการประชุมสมัชชาในปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 30-31 กรกฎาคม 2567 ณ ห้อง Conference Hall ชั้น 2 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) นางนภา กล่าวทิ้งท้าย
More Stories
“วราวุธ” เผย ศรส.พิษณุโลก ช่วยเด็กหญิง 12 ปี ถูกแม่แท้ๆ พาไปขายบริการ หาเงินขัดหนี้รายวัน
คณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม ลงพื้นที่ศึกษาดูงานโครงการเคหะชุมชนคลองจั่น
“ประเสริฐ” สั่งการ สคส. ตรวจสอบข่าว ห้างดังถูกแฮกข้อมูลส่วนบุคคล 5 ล้านราย